ปอดอักเสบติดเชื้อในผู้สูงวัย อันตรายกว่าที่คิด

ปอดอักเสบติดเชื้อในผู้สูงวัย อันตรายกว่าที่คิด

HIGHLIGHTS:

  • โรคปอดอักเสบติดเชื้อ แบคทีเรียนิวโมคอคคัส ในผู้สูงอายุ ทำให้มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก มีไข้สูง หนาวสั่นและไอมีเสมหะ หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจะยิ่งทวีความรุนแรงและเพิ่มอัตราการเสียชีวิต สูงถึง 20% และสูงขึ้นถึง 60% ในผู้สูงอายุ
  • การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสในผู้สูงอายุ  สามารถครอบคลุมสายพันธุ์ของเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสรุนแรงในประเทศ ไทยได้ถึง  70-78%
  • วัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์ (PCV20) ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสในกระแสเลือด ได้สูงถึง 86.8% ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 61 ปีขึ้นไป และครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัสได้สูงถึง 84.9%  

1. โรคปอดอักเสบ หรือ ปอดติดเชื้อ คืออะไร 
2. ระยะฟักตัวของโรคปอดอักเสบ
3. สาเหตุของโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ
4. โรคปอดอักเสบ หรือ ปอดติดเชื้อ อาการอย่างไร
5. การวินิจฉัยและรักษาโรคปอดอักเสบ
6. โรคแทรกซ้อนจากปอดอักเสบในผู้สูงอายุ
7. การป้องกันปอดอักเสบในผู้สูงอายุ
8. ปอดติดเชื้อ อันตรายไหม
9. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์
   9.1. ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อ
   9.2. ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อ
   9.3. ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อ นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์ (PCV20)
   9.4. คำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อ

โรคภัยไข้เจ็บสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากโรคประจำตัวทั่วๆ ไป อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูงแล้ว ภาวะปอดติดเชื้อหรือปอดอักเสบ ยังเป็นภัยใกล้ตัวที่มักเกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดู หากไม่มีการป้องกันหรือรักษาอย่างถูกวิธีอาจร้ายแรงถึงขั้นติดเชื้อในการะแสเลือด เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด

โรคปอดอักเสบ หรือ ปอดติดเชื้อ คืออะไร

โรคปอดอักเสบ หรือ ปอดติดเชื้อ เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ อาจติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย  ซึ่งมักเรียกง่ายๆ ว่า “ปอดบวม” 

ระยะฟักตัวของโรคปอดอักเสบ

ขึ้นอยู่กับเชื้อก่อโรค อาจใช้เวลา 1-3 วัน ผู้สูงอายุมักมีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัด ไข้สูง ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ อาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อเริ่มเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ หากเป็นนานกว่า 2-3 วัน โดยไข้ไม่ลด ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา 

ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เมื่อปีพ.ศ. 2561 พบว่ามีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบมากถึง 131,247 ราย เสียชีวิต 96 ราย  โดยกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 

สาเหตุของโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ

โรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปอดเกิดการอักเสบ  ส่งผลให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้ตามปกติ 

มักพบเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อปอดอักเสบสามารถพบได้ทุกช่วงอายุ โดยระดับความรุนแรงของโรคจะมีความแตกต่างกัน ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 65 ปี มีความต้านทานโรคต่ำ จึงมีความเสี่ยงเกิดความรุนแรงของโรคถึงขั้นเสียชีวิตมากที่สุด

อาการของโรคปอดอักเสบ หรือ ปอดติดเชื้อ อาการเป็นอย่างไร

ภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อแต่ละชนิด ส่งผลให้ระยะเกิดโรคแตกต่างกัน  เชื้อบางชนิดอาจเกิดภายในเวลาสั้นๆเพียง 1-3 วัน หรือบางชนิดอาจใช้เวลาฟักตัวนานเป็นสัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดหลังจากเริ่มป่วยเป็นไข้หวัด 

หากพบว่าผู้ป่วย

  • มีไข้สูง 
  • อ่อนเพลีย 
  • ไอ 
  • มีเสมหะร่วมกับอาการคลื่นไส้ 
  • อาเจียน  
  • หายใจลำบาก 
  • เจ็บแน่นหน้าอก  

โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยสูงอายุเริ่มมีอาการสับสนหรือซึมลง ทั้งๆ ที่ไข้ลดลง ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เนื่องจากอาจมีการติดเชื้อในปอด   

การวินิจฉัยและรักษาโรคปอดอักเสบ

แพทย์วินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกาย โดยเริ่มต้นจากการซักประวัติ ตรวจชีพจร ตรวจออกซิเจนในเลือด และการหายใจ เนื่องจากปอดอักเสบจะมีการหายใจเร็วกว่าปกติ  จากนั้นจึงส่งตรวจเอกซเรย์เพิ่มเติม เพื่อดูความผิดปกติในปอด ทั้งนี้อาจมีการเจาะเลือดร่วมด้วย

โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาได้ด้วยยาฆ่าเชื้อทั้งแบบรับประทานและการฉีดยา  ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน  สำหรับปอดที่ติดเชื้อไวรัสมักมีความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย  การรักษาจึงพิจารณาตามอาการ โดยผู้ป่วยดูแลตัวเองให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนอย่างพอเหมาะ  หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวแพทย์อาจพิจารณาให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกว่าจะหายสนิท  เพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง พร้อมกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ รวมถึงป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงวัย

โรคแทรกซ้อนจากปอดอักเสบในผู้สูงอายุ

สำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคประจำตัว อาจติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าคนปกติ ดังนั้นหากพบว่าคนในครอบครัวเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรแยกผู้สูงอายุให้ปลอดภัย เนื่องจากอาจติดเชื้อไวรัสกระทั่งเป็นปอดอักเสบได้

นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังมีภูมิต้านทานต่ำจากความเสื่อมสภาพทั่วไปของร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน  ไตวาย  หัวใจ ไขมันพอกตับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากปอดอักเสบ  เช่น ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรือที่อันตรายที่สุด คือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้

การป้องกันปอดอักเสบในผู้สูงอายุ

  • ผู้สูงอายุควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์    ใช้ช้อนกลาง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและไขมันสูง ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู่ป่วยโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
  • ไม่สัมผัสกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ลดการออกไปในสถานที่แออัดในช่วงที่มีไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ระบาด
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปี เนื่องจากเชื้อโรคมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ประสิทธิภาพของวัคซีนสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ประมาณ 70-80%  ควรฉีดก่อนหน้าฝนราวเดือนพฤษภาคม–มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด
  • ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย 

แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบส่วนใหญ่ คือ เชื้อเสตรปโตคอคคัส นิวโมนิเอ  (Streptococcus pneumoniae) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งมีมากกว่า 90 สายพันธุ์ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงอื่นๆ อาทิ ภาวะติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง และติดเชื้อในกระแสเลือด  โดยในปัจจุบันทางการแพทย์ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสที่ใช้อย่างมีประสิทธิภาพในผู้สูงอายุ  2 ชนิด คือ

  • วัคซีนนิวโมคอคคัสแบบคอนจูเกต (Conjugated) สามารถ ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสได้ 13 สายพันธุ์
  • วัคซีนนิวโมคอคคัสแบบโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide ) หรือ PPSV23 ครอบคลุมเชื้อได้  23 สายพันธุ์ 

ทั้งนี้ผู้สูงอายุที่อายุ  65 ปีขึ้นไป  ควรฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน โดยในผู้สูงอายุที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบมาก่อน ควรฉีด PCV13 หนึ่งเข็มก่อน จากนั้นอีก  12 เดือนค่อยฉีด PPSV23   สำหรับผู้ที่เคยฉีดวัคซีน PPSV23 มาก่อนแล้ว สามารถฉีด PCV13 ตามภายหลังได้โดยต้องฉีดห่างกันอย่างน้อยหนึ่งปี

นอกจากนี้ยังพบว่าวัคซีนสามารถครอบคลุมสายพันธุ์ของเชื้อที่ก่อ โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสรุนแรงในประเทศ ไทยได้ประมาณ  70-78 %   ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงปอดติดเชื้อรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ จึงควรฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสเช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 

ปอดติดเชื้อ อันตรายไหม

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเสตรปโตคอคคัส นิวโมนิเอ  (Streptococcus pneumoniae) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งมีมากกว่า 90 สายพันธุ์  (Streptococcus pneumoniae) พบได้ในโพรงจมูกและลำคอของทุกคน แต่มักก่อโรคเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือในรายที่ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่แข็งแรง เช่น ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกวัย  

การติดเชื้อแบคทีเรียเสตรปโตคอคคัส นิวโมนิเอ   เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคปอดเรื้อรัง ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ  และอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ 

ในผู้ใหญ่ เชื้อมักก่อโรคที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบส่งผลให้มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก มีไข้สูง หนาวสั่นและไอมีเสมหะ1 หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจะยิ่งทวีความรุนแรงและเพิ่มอัตราการเสียชีวิต สูงถึง 20% และสูงขึ้นถึง 60% ในผู้สูงอายุ2

วัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์

ในปัจจุบันทางการแพทย์ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสที่ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คือวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์ (PCV20) สามารถป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสได้ 20 สายพันธุ์

ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์

  1. ครอบคลุมเชื้อได้มากขึ้น สามารถป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสได้ถึง 20 สายพันธุ์   ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคได้มากกว่า 80% 
  2. การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น  วัคซีนป้องกันปอดอักเสบชนิด 20 สายพันธุ์  เป็นวัคซีนชนิดคอนจูเกต ซึ่งมีการเพิ่มโปรตีนเข้าไปในโครงสร้างของวัคซีน ทำให้มีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าวัคซีนชนิดโพลีแซคคาร์ไรด์
  3. เพิ่มภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและยาวนาน การฉีดวัคซีนช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ
  4. ลดความเสี่ยง  ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และการเสียชีวิต
  5. สะดวกด้วยการฉีดเพียง 1 เข็ม  วัคซีนป้องกันปอดอักเสบชนิด 20 สายพันธุ์  เพียง 1 เข็ม ช่วยลดความสับสนของคนไข้ ในเรื่องประวัติการรับวัคซีนและลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาทิเช่น ค่าเดินทาง เพราะสามารถรับวัคซีนครบคอร์สภายในครั้งเดียว 
  6. เหมาะสำหรับทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 

ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์

  • อายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกช่วงวัย เช่น โรคหัวใจเรื้อรัง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์ (PCV20)

  • ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสในกระแสเลือด (Invasive Pneumococcal Disease) ได้สูงถึง 86.8% ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 61 ปีขึ้นไปและ 83.2% ในทุกช่วงวัย
  • ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส (Pneumococcal Pneumonia) ได้สูงถึง 84.9% ในผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

คำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต 20 สายพันธุ์

  • วัคซีนป้องกันปอดอักเสบชนิด 20 สายพันธุ์  (PCV20)  1 เข็ม สำหรับผู้ใหญ่ทุกช่วงอายุ*
    *สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือปลูกถ่ายไขกระดูกมีคำแนะนำที่ต่างออกไป ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับวัคซีน
  • วัคซีนป้องกันปอดอักเสบชนิด 20 สายพันธุ์  (PCV20)   สามารถฉีดได้ทั้งในผู้ที่เคยและไม่เคยรับวัคซีนนิวโมคอคคัสมาก่อน

References

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?