โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ

โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ

HIGHLIGHTS:

  • ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น สัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อจะมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ ลดลง การหลั่งและการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น
  • มีคำแนะนำให้ตรวจคัดกรองภาวะเบาหวานในผู้สูงอายุ โดยหากผลปกติ แนะนำให้ตรวจซ้ำในอีก 3 ปี แต่หากผลพบเป็นภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองซ้ำในปีถัดไป
  • ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานหากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะปลายประสาทเสื่อม ไตวาย จอตาเสื่อม จนถึงอาจต้องตัดขา ซึ่งเกิดจากภาวะปลายประสาทเสื่อม แผลมีการติดเชื้อและลุกลามได้ง่าย 
     

โรคเบาหวานในผู้สูงอายุคืออะไร

  • โรคเบาหวาน เป็นภาวะความผิดปกติของร่างกาย เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินซึ่งมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือดน้อยเกินไป หรือร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน จึงทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยโรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ มักพบในผู้ป่วยอายุน้อย
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้แต่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน พบในผู้ที่มีอายุมากขึ้น โดยทั่วไปพบในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี ยิ่งอายุมากขึ้นมักมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่มักเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้
  • โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ความผิดปกติของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน หรือการได้รับยาบางชนิด
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ทำให้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้

คนสูงอายุมักเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานเพราะสาเหตุใด ความเสื่อมของร่างกายเกี่ยวข้องอย่างไร

ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานมากขึ้นเนื่องจาก เมื่ออายุมากขึ้น องค์ประกอบของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง มีสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อมากขึ้น มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ ลดลง มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง จนทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงแค่ไหนจึงเป็นโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยภาวะเบาหวาน ทำได้โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หากมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีอาการของภาวะน้ำตาลสูงและมีระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีการทดสอบโดยการให้กินน้ำตาล 75 กรัมและวัดน้ำตาลในเลือดที่สองชั่วโมงหลังจากนั้น หากได้ค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% โดยในการวินิจฉัย ต้องมีผลการทดสอบที่ผิดปกติอย่างน้อยสองครั้ง หรือมีการตรวจยืนยันซ้ำ

ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุ ควรเป็นเท่าไหร่

ในผู้สูงอายุ เนื่องจากมีอัตราส่วนการเป็นเบาหวานมากขึ้น จึงมีคำแนะนำให้ตรวจคัดกรองภาวะเบาหวาน โดยหากผลปกติ แนะนำให้ตรวจคัดกรองซ้ำในอีก 3 ปี แต่หากผลเป็นภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) เช่น มีระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร 100 ถึง 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือการทดสอบโดยการให้กินน้ำตาล 75 กรัมและวัดน้ำตาลในเลือดที่สอง ชั่วโมงหลังจากนั้นวัดค่าได้ 140 ถึง 199 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือค่าน้ำตาลสะสม (HbA1C)  5.7 ถึง 6.4% แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองซ้ำในปีถัดไป

การรักษาโรคเบาหวานในผู้สูงวัย สิ่งที่ต้องระวังมากกว่าวัยอื่น และเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานควรได้รับการรักษา อย่างไรก็ตามในผู้สูงอายุมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากกว่าวัยอื่นเนื่องจากหากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ตรงตามเป้าหมาย จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ผู้สูงอายุก็มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำจากการรักษาเบาหวานเช่นเดียวกัน เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานนั้นแบ่งตามสุขภาพของผู้สูงอายุ ดังนี้

  • ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรง ควรควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C)  ให้ < 7.5% และควบคุมระดับน้ำตาลเมื่ออดอาหารให้อยู่ที่ 90-130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว 3 โรคขึ้นไป หรือมีระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง หรือต้องพึ่งพาผู้อื่นในการใช้ชีวิตประจำวัน ควรควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C)  ให้ < 8.0% และควบคุมระดับน้ำตาลเมื่ออดอาหารให้อยู่ที่ 90-150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวมาก เป็นโรคเรื้อรังในระยะท้าย ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งคาดว่าจะมีอายุขัยอีกไม่นาน การควบคุมน้ำตาลอย่างเคร่งครัดเกินไปจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงแนะนำการควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C)  ที่ < 8.5% และควบคุมระดับน้ำตาลเมื่ออดอาหารให้อยู่ที่ 100 - 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ผู้สูงอายุเป็นเบาหวานอันตรายหรือไม่ และต้องตัดขาหรือไม่

ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานหากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะปลายประสาทเสื่อม ไตวาย จอตาเสื่อม เป็นต้น ซึ่งผู้สูงอายุอาจกังวลเกี่ยวกับการตัดขา ซึ่งเกิดจากภาวะปลายประสาทเสื่อม ทำให้เกิดการลดความรู้สึกที่ปลายมือปลายเท้า ในบางครั้งหากเกิดแผลอาจไม่ทันสังเกตจนทำให้แผลมีการติดเชื้อและลุกลามได้ง่าย และในผู้ป่วยเบาหวาน การติดเชื้อมักรุนแรงกว่าผู้ป่วยทั่วไป จึงทำให้ในบางครั้ง ต้องมีการตัดอวัยวะที่มีการติดเชื้อออก อย่างไรก็ตาม หากผู้สูงอายุสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ก็จะชะลอการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย 

แต่หากผู้สูงอายุมีภาวะปลายประสาทเสื่อมแล้ว การป้องกันการเกิดแผล เช่น การหมั่นตรวจปลายมือปลายเท้าเป็นประจำ การตัดเล็บไม่ให้สั้นหรือยาวมากจนเกินไป การใส่รองเท้าที่พอดี การระมัดระวังกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดแผล ก็จะช่วยป้องกันการเกิดแผลที่เท้าและป้องกันการลุกลามของแผลจนต้องตัดขาได้

การดูแลผู้สูงอายุเมื่อเป็นเบาหวาน

  • การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ควรรับประทานยาหรือใช้ยาตามแพทย์สั่ง หากผู้ป่วยไม่สามารถจัดยาหรือรับประทานยาเองได้ ควรมีผู้ดูแล จัดยาให้ผู้ป่วยรับประทาน หากผู้ป่วยใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามปริมาณที่แพทย์สั่ง ไม่มากหรือน้อยเกินไป และควรติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้ปรับยาได้เหมาะสมกับผู้ป่วย
  • ระวังภาวะน้ำตาลต่ำในผู้สูงอายุ หากผู้สูงอายุมีภาวะเจ็บป่วยอาจทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อลดหรืองดยาเบาหวานเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ ซึ่งอาจทำให้มีอาการซึม อ่อนแรง หมดสติ ถึงขั้นโคม่าได้
  • อาหาร ควรดูแลเรื่องอาหารของผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นเบาหวาน โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ลดการบริโภคแป้งและไขมัน ลดอาหารที่มีรสหวาน มัน เน้นอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานเนื่องจากอาจมีปริมาณน้ำตาลสูง ปรุงอาหารเอง เพื่อให้ทราบส่วนประกอบของอาหาร หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • การออกกำลังกาย ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้ที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกาย โดยออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้สูงอายุ เลือกเสื้อผ้าและอุปกรณ์ในการออกกำลังกายให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลและการพลักตกหกล้ม
  • การดูแลสุขอนามัย ป้องกันการเกิดแผล โดยเฉพาะแผลที่เท้า หากมีแผลควรดูแลให้แห้งและสะอาด หรือควรพาไปพบแพทย์หากแผลเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากผู้สูงอายุมองไม่เห็นหรือไม่สามารถตัดเล็บเท้าเองได้ ควรมีผู้ดูแลช่วยตรวจสอบการเกิดแผลบริเวณเท้าและหมั่นตัดเล็บเท้าให้สั้นพอประมาณอย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ

แม้การเกิดเบาหวานมีหลายปัจจัยร่วมกัน แต่การดูแลและควบคุมพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสมก็สามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม ลดอาหารที่มีรสหวาน มัน แป้ง น้ำตาล รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีกากใยสูง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ หากมีโรคประจำตัวควรควบคุมโรคประจำตัวให้ดี พบแพทย์และตรวจคัดกรองเบาหวานอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้เริ่มควบคุมระดับน้ำตาลตั้งแต่ระยะก่อนเบาหวาน ก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ 

Reference

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?