1. การฉีดวัคซีน HPV
เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกก่อนติดเชื้อ ที่มีในเมืองไทยมาแล้ว กว่า 20 ปี เน้นป้องกันอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ 70% ที่เป็นต้นเหตุของการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก คือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18
เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ยังไม่มีการสัมผัสเชื้อสองตัวนี้ได้ก็จะดีที่สุด และสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็ก อายุ 9-10 ขวบ และมีการทำวิจัยพบว่า สำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องฉีด 3 เข็มเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี สามารถฉีดวัคซีน แค่ 2 เข็มก็มีภูมิคุ้มกันต่อ 2 สายพันธุ์หลัก ป้องกันได้ 100%
2. การป้องกันด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คือการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test)
เป็นการหาความผิดปกติก่อนที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อหาวิธีดูแลรักษาให้หาย ปัจจุบันมีวิธีตรวจคัดกรองเพื่อหาความผิดปกติของปากมดลูกด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้
- 1) การป้ายเก็บตัวอย่างเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติ (แปปสเมียร์ : Pap Smear)
การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เรียกว่า HPV Test หรือ HPV DNA เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV โดยการตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัส ถ้าพบว่าเป็น Positive แสดงว่าพบกลุ่มเชื้อที่ก่อมะเร็ง (เสี่ยงสูง) และ Negative หมายถึงไม่พบเชื้อที่ก่อมะเร็ง ซึ่งล่าสุดตัว HPV Test หรือ HPV DNA นี้ สามารถระบุกลุ่มของเชื้อและสายพันธุ์ได้ทันที
- 2) การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะ
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทางเลือกใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เซลล์ที่ได้จากน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจหา HPV DNA ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสตรีที่กลัวและอายการขึ้นขาหยั่ง และช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้

3. การตรวจภายใน
สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการเตรียมตัวใดๆ
- การตรวจภายใน ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือน
- ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ หรืออยู่ในระหว่างใช้ยาเพื่อรักษาภาวะช่องคลอดแห้งอย่างน้อย 1-2 วัน ก่อนการตรวจ
และควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ในกรณีที่มีความผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเพิ่มเติม
