-
การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
ผู้หญิงตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมเพื่อลดการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ทั้งนี้กรณีผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตรวจพบการกลายพันธุ์ที่เป็นอันตรายในยีน BRCA1 หรือยีน BRCA2 แพทย์อาจพิจารณาตรวจด้วยวิธี MRI เพิ่มเติม
-
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การทดสอบเพื่อหาเชื้อ Human papillomavirus (HPV) ด้วยวิธี HPV DNA Test และการตรวจ Pap test เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่สามารถป้องกันโรคได้ เนื่องจากช่วยให้สามารถพบเซลล์ที่ผิดปกติและรักษาได้ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้หญิงอายุ 21 – 65 ปี ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทุก ๆ 3 – 5 ปี เพื่อลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต ทั้งนี้ สมาคมมะเร็งอเมริกัน (American Cancer Society) แนะนำให้ผู้หญิงที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เข้ารับการตรวจหาโอกาสการเกิดโรคเช่นเดียวกับหญิงที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเช่นกัน
-
การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก
สมาคมมะเร็งอเมริกันแนะนำให้ผู้ชายอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากทางทวารหนัก Digital rectal examination (DRE) และการเจาะเลือดเพื่อตรวจสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostatic Specific Antigen : PSA) หรืออาจทำร่วมกันทั้ง 2 วิธี
-
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
สมาคมมะเร็งอเมริกัน และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute) แนะนำให้ผู้หญิงและผู้ชายที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Sigmoidoscopy) และการตรวจอุจจาระ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักตรวจคัดกรองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่ออายุ 45 - 75 ปี อย่างน้อยทุก ๆ 5 – 10 ปี
สมาคมมะเร็งอเมริกันแนะนำให้ผู้ที่สูบบุหรี่จัด รวมถึงผู้ที่เลิกบุหรี่ไปแล้วภายใน 15 ปี ที่อายุตั้งแต่ 50-80 ปีขึ้นไป ต้องได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด โดยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ หรือทีซีสแกน (CT Scan) บริเวณทรวงอกทุกปี ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดได้
การตรวจเลือดอัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha – fetoprotein / AFP) ร่วมกับอัลตร้าซาวด์ตับ เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งตับตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยง ซึ่งค่า AFP ปกติของคนทั่วไปคือ AFP=<15 ng/ml นอกจากนี้หลักฐานทางการแพทย์พบว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อรังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งตับ ดังนั้นการตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี (Anti – HCV) จึงสามารถใช้ประเมินหาความเสี่ยงและเฝ้าระวังการเป็นมะเร็งตับได้
- การตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่
การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง CA 12-5 และ HE4 ในกระแสเลือด ร่วมกับอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่ (Transvaginal Ultrasound) เพื่อตรวจหามะเร็งรังไข่ในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะสตรีที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงวินิจฉัยมะเร็งรังไข่ในผู้ที่มีอาการ และสามารถใช้เพื่อประเมินการกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยเมื่อเทียบกับผู้หญิงปกติพบว่า ประมาณ 80 – 85% ของผู้หญิงที่เป็นมะเร็งรังไข่มีระดับ CA 12-5 และ HE4 สูงขึ้น