ไขมันพอกตับเป็นภาวะที่สามารถป้องกันเบื้องต้นได้ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และมีการดูแลสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารและออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์ตามนัด รับประทานยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหลายชนิดสามารถทำลายตับได้เช่นกัน เพื่อปกป้องสุขภาพตับ แพทย์อาจแนะนำให้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบเอ และไวรัสตับอักเสบบี
ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันพอกตับจำนวนมากมักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าตับจะถูกทำลายอย่างรุนแรง เช่น เมื่อมีภาวะตับแข็งในระยะแรก จะเริ่มแสดงอาการ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ขาบวม ตัวตาเหลือง หรือจุกแน่นบริเวณท้องด้านขวาบน ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับส่วนใหญ่ ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน รับประทานอาหารให้ได้พลังงานที่เหมาะสม ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ทั้งนี้เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะไขมันพอกตับแล้ว ควรติดตามดูแลรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังการดำเนินของโรค และติดตามภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การละเลยอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง ซึ่งการรักษาในระยะนี้อาจได้ผลไม่ดีนัก รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับในที่สุด