ด้วยองค์ประกอบของสารพิษเหล่านี้ ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2556 อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ 1 ใน 8 ของประชากรโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก ขนจมูกไม่สามารถกรองได้ สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมสู่กระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ อาจทำให้การทำงานของปอดแย่ลง เพิ่มความเสี่ยงโรคถุงลมโป่งพอง ทางเดินหายใจอักเสบจนเกิดอาการภูมิแพ้ และโรคหัวใจ โดยเฉพาะ หลอดเลือดหัวใจตีบ และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
มีงานวิจัยระบุว่าPM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นสะสมในระบบไหลเวียนเลือด ทุก 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สามารถเพิ่มความหนาของผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ ที่เป็นเส้นทางไปสู่สมองและหัวใจ (carotid intima-medial thickness) ได้ 5.9% ส่งเสริมการตีบหรืออุดตันหลอดเลือดแดงที่หัวใจ สามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากถึง 1.24 เท่า และเพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจ 1.76 เท่า
โรค หลอดเลือดหัวใจตีบ อัตราการตายเพิ่มขึ้นทุกปี
ปัจจุบันพบว่าอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ สืบเนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากในอดีต โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เคร่งเครียดกับการทำงาน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย จนอ้วนหรือลงพุง สูบบุหรี่ มีโรคประจำตัว (เบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูง) และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (อายุ เพศ และเชื้อชาติ) และเผชิญมลภาวะเช่น ฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเมื่อเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันขึ้นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต้องได้รับยาตลอดชีวิต ถ้าเป็นมากจนมีอาการเจ็บหน้าอก ต้องได้รับการขยายหลอดเลือดแดงโดยใช้บอลลูนหรือในคนไข้บางรายต้องได้รับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือด ดังนั้น การป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น