ทำไมต้องวิ่งสายพาน

ทำไมต้องวิ่งสายพาน

HIGHLIGHTS:

  • การวิ่งสายพานทำให้ทราบว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่
  • เมื่อสูงอายุมักพบว่าขาดสารอาหารบางอย่างเช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซึ่งเป็น แร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก
  • นักกีฬา ควรตรวจสมรรถภาพของหัวใจขณะออกกำลังกาย หรือวิ่งสายพาน เพื่อจะได้ทราบว่าเราควรออกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหน

ทำไมต้องวิ่งสายพาน

อาจมีคนเคยสงสัยว่าทำไมการตรวจสุขภาพ ถึงต้องมีการวิ่งสายพาน วิ่งไปทำไม แล้วใครต้องตรวจบ้าง ผลการตรวจบอกอะไรเราบ้าง แล้วการวิ่งสายพานจำเป็นอย่างไร

การตรวจสมรรถภาพของหัวใจขณะออกกำลังกาย Exercise Stress Test

หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า วิ่งสายพาน คือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย เพื่อตรวจสอบว่าขณะที่ร่างกายต้องออกแรงอย่างหนักอยู่นั้น กล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงเพียงพอหรือไม่ ซึ่งแพทย์จะประเมินสมรรถภาพของหัวใจได้ สามารถคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันในเบื้องต้น และยังสามารถตรวจภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังสามารถประเมินสมรรถภาพของร่างกายได้ ซึ่งการตรวจแบบนี้จะให้ผลที่ละเอียดกว่าการตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพียงอย่างเดียว

ทำไมต้องตรวจสมรรถภาพของหัวใจขณะออกกำลังกาย

บางครั้งเราก็คาดไม่ถึง หรือไม่ได้สนใจ และคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีคงไม่ได้เป็นโรคหัวใจ ไม่เห็นจำเป็นต้องตรวจ แต่ด้วยข่าวที่มีนักกีฬาเสียชีวิตไปในระหว่างแข่งขัน นักปั่นจักรยานหมดสติ หัวใจวายในสนามปั่น เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่น่าจะทำให้เราหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น การรอให้เกิดอาการก่อน ก็อาจจะสายเกินไป

ใครควรเข้ารับการตรวจ

  • ผู้ที่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกมาก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุว่ามาจากหัวใจ หรืออวัยวะอื่น เมื่อวิ่งสายพานแล้ว เกิดอาการเจ็บหน้าอกขึ้น พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงของกราฟหัวใจ การตรวจนี้จะช่วยบอกได้ว่าเกิดจากการตีบของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
  • นักกีฬา การวิ่งสายพานจะช่วยให้เราทราบว่าควรจะออกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหน ระดับการเต้นสูงสุดของหัวใจเท่าไรจึงจะปลอดภัย
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
    • ชายอายุ > 45 ปี, หญิงอายุ > 55 ปี
    • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
    • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดสมองตีบ
    • เป็นเบาหวาน
    • ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง LDL > 130 mg/dl หรือระดับไขมัน HDL < 40 mg/dl
    • ผู้ที่สูบบุหรี่

จะมาวิ่งสายพาน ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

  • พักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการตรวจ
  • ควรงดอาหาร และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ช็อกโกแลต น้ำอัดลม ชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ ก่อนการตรวจ อย่างน้อย 3 ชม. สามารถจิบน้ำเปล่าได้เล็กน้อย
  • ถ้ามียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • สวมรองเท้าสำหรับออกกำลังกาย ที่สามารถเดินหรือวิ่งได้โดยไม่หลุด
  • เสื้อผ้าใส่สบาย ควรเป็นชุดเสื้อ – กางเกง หรือใช้ชุดที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้

ขั้นตอนการตรวจง่ายๆ

การวิ่งสายพาน เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บ แค่ต้องออกกำลังวิ่งบนลู่วิ่ง โดยมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ อยู่ด้วยตลอดเวลา การตรวจก็มีขั้นตอนดังนี้

  • เจ้าหน้าที่จะติดอุปกรณ์ เพื่อตรวจดูการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตขณะวิ่ง
  • ผู้รับการทดสอบเดินบนสายพานที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ โดยที่ความเร็วก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น และระดับความลาดชันก็สูงขึ้น
  • หากรู้สึกเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือเดิน/วิ่งไม่ไหว สามารถหยุดได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
  • ในระหว่างการทดสอบ จะมีการวัดระดับการเต้นของหัวใจ การหายใจ ความดันโลหิต คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และระดับความเหนื่อย

วิ่งบนเครื่องนานแค่ไหน จะหยุดวิ่งได้เมื่อไร

แพทย์จะหยุดทำการทดสอบเมื่อพบสิ่งต่อไปนี้

  • ผลการทดสอบเป็นบวกตามเกณฑ์การแปลผลมาตรฐาน = มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • หัวใจเต้นถึง 85% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจตามอายุ (อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ= 220- อายุ)
  • ผู้เข้ารับการทดสอบไม่สามารถออกกำลังต่อได้ เช่น ปวดเข่า หรือมีภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ทดสอบ เช่น ความดันโลหิตตก มีหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น

ข้อควรระวัง

ถ้าขณะตรวจรู้สึกผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที

  • แน่นอึดอัดบริเวณหน้าอก
  • เหนื่อยมากผิดปกติ หายใจไม่ออก
  • ปวดขา เข่า
  • มึนงง เวียนศีรษะ

ผลการตรวจบอกอะไร

  • ถ้าผลการทดสอบเป็น บวก หมายถึง มีเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ ควรได้รับการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ
  • ถ้าผลการทดสอบเป็น ลบ แสดงว่าไม่มีหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดหัวใจตีบแต่ไม่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำต่อไป
  • ถ้าผลการทดสอบไม่ชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาส่งผู้ป่วยไปตรวจเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจโดยวิธีคอมพิวเตอร์ (CTA Coronary Artery)
คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?