อยากให้ลูกเป็นนักวิ่ง

อยากให้ลูกเป็นนักวิ่ง

HIGHLIGHTS:

  • เด็กๆ ก็เป็นนักวิ่งได้ตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไป
  • เด็กๆ ที่จะเป็นนักวิ่งนั้น สามารถฝึกซ้อมในระยะทางมากๆ ได้ แต่ระยะต้องไม่ควรเกิน 10 กิโลเมตร
  • การฝึกวิ่งในเด็กต้องคำนึงถึงช่วงเวลาและปริมาณน้ำที่เด็กดื่ม เพื่อความปลอดภัยของเด็ก

การจะฝึกหรือสนับสนุนการวิ่งให้กับเด็กๆ จำเป็นต้องมีหลักในการพิจารณาและตัดสินใจหลายอย่าง

เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กสามารถเดินได้ การพยายามวิ่งก็จะตามมาทันที การกระตุ้นให้เด็กๆ สนใจกิจกรรมออกกำลังกายจะสามารถทำให้ลูกของคุณมีความกระตือรือร้น คุณสามารถทำให้ความต้องการตามธรรมชาติส่วนใหญ่ของเขาเป็นไปในการวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงให้ลูกของคุณต้องไปฝึกเป็นนักวิ่งหรือทำความเร็วเพื่อแข่งขันกับใคร แต่มันคือการกระตุ้นให้รู้จักออกกำลังกาย ปลูกฝังความรักในการออกกำลังกายเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเด็กเอง หรืออาจส่งเสริมไปความสามารถพิเศษในการเล่นกีฬาตามรูปแบบที่เขาชอบต่อไปในอนาคตก็ได้ จำไว้ว่าเด็กๆ ล้วนแต่มีความต้องการพิเศษเป็นของตัวเอง นั่นคือพวกเขาอาจจะไม่ร่วมหลงใหลกับการวิ่งในที่สุด แต่อาจชอบกีฬาอย่างอื่นก็เป็นได้

เด็กที่อยู่ในช่วงหัดเดินจนกระทั่งอายุ 5 ขวบ ไม่ควรฝึกฝนเรื่องของการวิ่ง

เพราะท่าทางการเดิน การวิ่งและการทำงานประสานกันที่ยังไม่พัฒนา ดังนั้น ควรกระตุ้นให้เขาเล่นหรือออกกำลังกายอย่างอื่นจะดีกว่าการวิ่ง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ คือ จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้เขาเข้าไปเล่น หรือร่วมกิจกรรม

สิ่งที่พึงระวังเมื่อเด็กเริ่มฝึกวิ่ง

เด็กๆ มีแนวโน้มที่ร่างกายจะร้อนเกินไป และเย็นอย่างรวดเร็วเกินไป มากกว่าผู้ใหญ่ เพราะพวกเขายังไม่มีระบบเหงื่อที่มีประสิทธิภาพ มีอัตราส่วนของผิวหนังต่อน้ำหนักตัวที่มากกว่า หมายถึงพวกเขาสามารถรับและสูญเสียความร้อนได้เร็วมาก ต้องให้แน่ใจว่าพวกเขาฝึกโดยสวมใส่ชุดบาง รวมถึงต้องถอดออกหรือใส่กลับได้สะดวกรวดเร็ว และที่สำคัญไม่ควรฝึกเด็กๆ ในช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุดของวัน อีกอย่างคือต้องแน่ใจว่าเด็กๆ ดื่มน้ำจำนวนที่มากพอ

เด็กโต

วัยนี้หมายถึง 5 ขวบขึ้นไป เริ่มมีพัฒนาการควบคุมการเคลื่อนไหวในการวิ่งที่มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงมีแนวโน้มตามธรรมชาติของพวกเขาคือวิ่งแบบพุ่งออกไปเร็วในระยะสั้น เด็กๆ อาจมีปัญหาในการวิ่งให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากแขนขาของพวกเขายังมีสัดส่วนไม่สมกับมวลกล้ามเนื้อของเขา การให้เด็ก ๆ ได้วิ่งในการเล่นเกมส์ และรวมถึงการฝึกทักษะด้วยลูกบอลช่วยพัฒนาการประสานงานของร่างกายได้

เด็กวัยประถม

การเจริญเติบโตเร่งเร็วขึ้นซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาในการเจริญเติบโต และเด็กๆ ที่กระฉับกระเฉงอาจทุกข์ทรมานกับอาการที่เรียกว่าอาการจากปัญหากล้ามเนื้อและกระดูก (Osgood-Schlatter syndrome) ทำให้มีอาการปวดรุนแรงที่ใต้ลูกสะบ้า อันเป็นผลจากความเครียดของการถูกแทนที่ของชั้นกระดูกอ่อนที่เติบโตขึ้นบริเวณส่วนปลายของกระดูกขาที่อยู่ใต้เข่า แต่สภาวะดังกล่าวจะหายไปเมื่อเด็กโตเต็มที่หรืออยู่ช่วงใกล้จบชั้นประถม พวกเขาอาจสามารถเริ่มวิ่งระยะทางไกลได้ (สูงสุดถึง 1 ไมล์)

วัยรุ่น (12 – 16 ปี)

เป็นวัยที่เหมาะสม การฝึกซ้อมของพวกเขาสามารถเพ่งความสนใจได้มากขึ้น ให้เขาเริ่มแข่งขันในระยะสั้น (สูงสุดถึง 5 กิโลเมตร) และเป็นวัยที่ความสามารถพิเศษด้านการวิ่งจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่ควรคำนึงเรื่องแขนขาของวัยรุ่น ที่เจริญเติบโตเร็วมากจะทำให้พวกเขาดูซุ่มซ่าม ซึ่งขณะเดียวกันนี้สมองกำลังพยายามปรับตัวตามจึงทำให้การรับรู้ช่องว่างยังไม่ดีนัก จึงควรมีการฝึกฝนทักษะโดยสอนท่าทางที่ดี (good form) แก่นักวิ่งหนุ่มสาวในวัยนี้ ทั้ง 2 เพศนี้กระดูกยังคงมีพัฒนาการและยังคงมีความเสี่ยงของการแตกร้าวจากความเครียด (stress fractures) สามารถลดความเสี่ยงลงได้ด้วยการฝึกซ้อมบนพื้นผิวที่นุ่ม เช่น สนามหญ้าหรือลู่วิ่งสนามกีฬา

เด็กๆ ที่ออกกำลังกาย ควรใส่ใจกับการกินอาหารและระดับพลังงาน ซึ่งจะบอกให้รู้ว่าเขากำลังกินอย่างเพียงพอหรือไม่ เด็กต้องได้รับโปรตีนมากพอจากอาหาร (จากการวิจัยแนะนำว่า คือปริมาณที่เหมาะสม คือ 1.1 – 1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ต่อวัน ) เพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซม รวมทั้งแคลเซียมสำหรับการเสริมสร้างกระดูก และวิตามินต่างๆ สำหรับช่วยในการเผาผลาญอาหาร ที่มากพอ

ส่วนวัยที่ถือว่าโตเต็มที่ (16-18 ปี) สามารถฝึกซ้อมในระยะทางมากๆ ได้ แต่ต้องเป็นระยะไม่ควรเกิน 10 กิโลเมตร เนื่องจากความทนทาน (endurance) ยังไม่พัฒนามากกว่านี้ ควรเน้นให้แข่งประเภทความเร็วมากกว่า

ดังนั้นระยะที่เรียกว่า Half หรือ Full Marathon จะเริ่มฝึกฝนได้ในช่วงอายุ 20 ปีเป็นต้นไป

อ้างอิงจากหนังสือ – (The Illustrated Practical Encyclopedia of Running, by Elizabeth Hufton, Hermes House(Anness Publishing) 2009.
คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?