ต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid gland) เป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านหลังโพรงจมูกเหนือขึ้นไปจากต่อมทอนซิล ไม่สามารถมองเห็นได้จากทางช่องปาก ต่อมอะดีนอยด์เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน มีหน้าที่คอยดักจับแบคทีเรียหรือไวรัสที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อมีการติดเชื้อในร่างกายต่อมอะดีนอยด์จะโตและอักเสบขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ภาวะต่อมอะดีนอยด์โตส่วนใหญ่จะตรวจพบในเด็กช่วงอายุ 3 - 6 ปี โดยเป็นสาเหตุของเด็กนอนกรน 7% และทำให้เกิดอาการหยุดหายใจขณะหลับได้ 2%
ต่อมอะดีนอยด์มีหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคในวัยเด็กเพียงช่วงอายุ 2-12 ปี เมื่อเด็กโตขึ้นต่อมอะดีนอยด์ จะค่อยๆ ลดบทบาทลง จนไม่มีผลต่อการป้องกันโรคใดๆ เมื่อเป็นผู้ใหญ่
การบวมของต่อมอะดีนอยด์เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่เข้าทางจมูก ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการป้องกันการติดเชื้อ เมื่ออาการติดเชื้อบรรเทาลงต่อมอะดีนอยด์ก็จะหดตัวกลับสู่ขนาดปกติได้เอง อย่างไรก็ตามเด็กบางคนต่อมอะดีนอยด์จะยังคงบวมอยู่แม้ร่างกายจะไม่มีอาการติดเชื้อแล้วก็ตาม ในเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังหรือเป็นหวัดเรื้อรังซ้ำซาก อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ต่อมอะดีนอยด์โตขึ้นได้เช่นกัน
ภาวะต่อมอะดีนอยด์โตเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดยสังเกตเห็นอาการได้ในช่วงเวลากลางคืน โดยมี 2 อาการหลักๆ คือ “คัดจมูก” และ “นอนกรน” แต่อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย ดังนี้
ปัญหาเด็กนอนกรนเกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุพบบ่อยที่สุด คือภาวะต่อมอะดีนอยด์โต เนื่องจากติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ทั้งนี้ทางเดินหายใจส่วนบนของเด็กมีขนาดเล็ก หากต่อมอะดีนอยด์โตอาจทำให้ไปขวางทางเดินหายใจส่วนบนทำให้หยุดหายใจขณะหลับ ขาดออกซิเจน และอาจมีกลุ่มที่รุนแรงจนเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ปัญหานอนกรนจากภาวะต่อมอะดีนอยด์โต หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะส่งผลต่อพัฒนาการที่ช้าลง เนื่องจากขาดออกซิเจนขณะหลับ ทำให้มีปัญหาของสมองและระบบประสาท ส่งผลให้การเรียนแย่ลง อาจร้ายแรงจนเป็นโรคสมาธิสั้น รวมถึงอาจส่งผลต่อลักษณะโครงสร้างใบหน้า เนื่องจากต้องอ้าปากหายใจขณะหลับ และภาวะต่อมอะดีนอยด์โตยังส่งผลถึงการนอนที่ผิดปกติ ทำให้เด็กพักผ่อนไม่เพียงพอ และเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคสมาธิสั้น การเจริญเติบโตที่น้อยกว่าปกติ ภาวะปัสสาวะรดที่นอนในเด็กโต รวมถึง ภาวะหัวใจวายที่เกิดจากการขาดออกซิเจนขณะนอนหลับบ่อยครั้ง
ดังนั้น หากพบว่าลูกมีภาวะนอนกรน ไม่ควรละเลยหรือมองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาอย่างเหมาะสม
แพทย์จะทำการสอบถามประวัติและอาการผิดปกติ โดยหากแพทย์พบประวัติว่ามีความผิดปกติ จะสั่งตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ช่วงคอเพื่อดูขนาดของต่อมอะดีนอยด์ ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ โดยหากตรวจพบว่ามีอาการรุนแรง แพทย์อาจส่งตรวจสุขภาพการนอนหลับ (Sleep Test) ซึ่งต้องนอนในโรงพยาบาล เพื่อติดตั้งเครื่องมือตรวจจับและบันทึกสัญญาณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การหายใจ คลื่นสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ การขยับของทรวงอก ระดับออกซิเจนและระดับคาร์บอนไดออกไซด์
การรักษาต่อมอะดีนอยด์โตจะพิจารณาการรักษาต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุที่พบ ดังนี้
ภาวะต่อมอะดีนอยด์โตพบได้บ่อยในเด็กและมักไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาการจะดีขึ้นและหายได้เองเมื่อโตขึ้น หากผู้ปกครองมีความกังวล สามารถพาเด็กไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อเริ่มสังเกตเห็นอาการตามที่กล่าวมา ซึ่งคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ควบคุมภาวะต่อมอะดีนอยด์โตได้
โรคต่อมอะดีนอยด์โตในเด็ก เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมากจะมาพบแพทย์ด้วยอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล คล้ายภูมิแพ้ ร่วมกับมีอาการนอนกรน ซึ่งอาการนอนกรนถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกต หากพบลูกนอนกรนบ่อยๆ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อหาสาเหตุและรีบรักษา
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่