ฮอร์โมน (Hormones) คือสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ดำเนินไปได้ตามปกติ นอกจากเพศหญิงและชายจะมีฮอร์โมนแตกต่างชนิดซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน ปริมาณและการทำหน้าที่ของฮอร์โมนในแต่ละช่วงอายุก็ยังแตกต่างกันไปอีกด้วย ฮอร์โมนเพศหญิง ที่สำคัญได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน FSH และ LH ดังนี้
ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง ผลิตจากรังไข่เป็นส่วนใหญ่ และมีส่วนน้อยที่ผลิตจากต่อมหมวกไตและเซลล์ไขมัน โดยจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเพศ ลักษณะของเพศหญิง การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ และการหมดประจำเดือน
ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ 15-350 pg/mL โดยจะแตกต่างกันในช่วงของการตกไข่และมีประจำเดือน
ส่วนในวัยหมดประจำเดือนจะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงที่ <10 pg/mL หากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปอาจทำให้มีการสะสมไขมันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคอ้วน ทำให้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิดและไขมันในเส้นเลือด
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ถูกสร้างจากรังไข่ในช่วงหลังไข่ตก และบางส่วนจากรก โดยจะมีหน้าที่ควบคุมภาวะไข่ตก และการมีประจำเดือน กระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนที่ได้รับการผสมจากไข่และอสุจิแล้ว ดูแลการตั้งครรภ์ ควบคุมการทำงานพื้นฐานของร่างกาย
โดยระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของการตกไข่และตั้งครรภ์ หากมีความผิดปกติของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในช่วงก่อนการตั้งครรภ์อาจทำให้มีผลต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากไข่ที่ได้รับการผสมไม่สามารถฝังตัวได้ และหากมีความผิดปกติของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ก็อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
ฮอร์โมน Follicular stimulating hormone (FSH) สร้างจากต่อมใต้สมอง เพื่อกระตุ้นให้ไข่มีการเจริญเติบโตและพร้อมต่อการผสมกับอสุจิ รวมถึงมีผลต่อการเติบโตทางเพศในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หากฮอร์โมน FSH ผิดปกติจะทำให้ไม่มีการเจริญเติบโตของไข่และอาจมีผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ได้
ฮอร์โมน Luteinizing hormone (LH) สร้างจากต่อมใต้สมอง มีหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ที่เจริญเต็มที่แล้วตกจากรังไข่เพื่อพร้อมรับการผสมกับอสุจิ หากระดับฮอร์โมน LH ต่ำเกินไปจะทำให้ไม่มีการตกไข่ ส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ แต่หากมีมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการเกิดซีสต์หรือถุงน้ำในรังไข่ได้
วัยทอง หรือ วัยหมดประจำเดือน เป็นวัยที่เพศหญิงหยุดการมีประจำเดือน และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งอายุของวัยทองจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48-52 ปี
หรืออาจเกิดจากการผ่าตัดนำรังไข่ทั้งสองข้างออก ทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ หรือเกิดจากโรคบางชนิด หรือการใช้ยาเคมีบำบัดช่วงก่อนที่จะหมดประจำเดือน จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจเกิดได้เป็นเวลาตั้งแต่ 2 – 8 ปี และโดยเฉลี่ยที่ 4 ปี
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และเทสโทสเทอโรนลดลงอย่างมาก และฮอร์โมน follicle stimulating hormone (FSH) และ Luteinizing hormone (LH) จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ มีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง มวลกระดูกบางลงส่งผลให้กระดูกเปราะ แตกง่าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และหลอดเลือดสมอง
การตรวจระดับฮอร์โมนจะสามารถวินิจฉัยภาวะหมดประจำเดือนได้ โดยจะพบว่ามีระดับฮอร์โมน FSH ที่สูงขึ้น และฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิด estradiol (E2) ลดลง
แม้การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุที่เป็นปกติ แต่ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดอาการที่ไม่สุขสบาย เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง การลดความรู้สึกและอารมณ์ทางเพศ
รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น กระดูกพรุน เพิ่มมากขึ้น หากอาการต่าง ๆ เป็นไม่มาก ร่างกายสามารถปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองอย่างเหมาะสมได้
อย่างไรก็ตามในผู้ที่มีอาการรุนแรง การใช้ฮอร์โมนเสริมเพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างลดลง จะช่วยลดอาการต่าง ๆ รวมถึงป้องกันการเกิดกระดูกพรุนในระยะยาว โดยฮอร์โมนที่ใช้มีทั้งกลุ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนเอสโตรเจนร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และมีทั้งในรูปแบบการรับประทาน แผ่นแปะ เจล หรือเจลหล่อลื่นสำหรับใช้รักษาภาวะช่องคลอดแห้งโดยเฉพาะ ปริมาณของฮอร์โมนในแต่ละรูปแบบมีขนาดแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ การใช้ฮอร์โมนทดแทนอาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมีข้อห้ามในการใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม จึงควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนและพิจารณาการใช้ยา รวมถึงปรับขนาดอย่างอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ไม่ควรซื้อฮอร์โมนทดแทนรับประทานเอง
นอกจากนี้ หากมีอาการของวัยหมดประจำเดือนอาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วย เช่น ยากลุ่ม SSRIs, SNRIs และยากลุ่ม selective estrogen receptor modulators (SERMS) เป็นต้น
ในผู้ที่ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน อาจดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้นดังนี้
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสังเกตอาการของร่างกายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง การป้องกันและรักษาภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลหรือการขาดฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือนในระยะเริ่มต้นมีความสำคัญในการป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะอื่น ๆ ที่สำคัญในระยะยาว
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่