ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการปวดรุนแรงเรื้อรังมานาน และรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด แล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมนั้นสามารถเลือกทำได้ในหลากหลายช่วงอายุ แต่ละช่วงอายุมีการใช้เทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอาการของโรค รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย
นอกจากนั้นแล้ว การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมยังช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดความผิดปกติของร่างกายในส่วนอื่นๆ และยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยได้อีกด้วย ทั้งนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และข้อบ่งชี้ต่างๆ ของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด หรือเรียกสั้นๆ ว่า TKA/TKR คือ การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยการผ่าตัดเอาผิวข้อเข่าส่วนที่เสียหรือเสื่อมสภาพออกทั้งหมด ทั้งส่วนปลายของกระดูกต้นขา (Femur) และส่วนบนของกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) ทั้งฝั่งด้านในและด้านนอก (Medial and Lateral Compartment) แล้วแทนที่ด้วยผิวข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะอัลลอยด์ครอบหรือคลุมกระดูกส่วนที่เฉือนออกไป โดยมีแผ่นโพลีเอทิลีนชนิดพิเศษกั้นระหว่างโลหะ
การผ่าตัดวิธีนี้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีการทำลายของกระดูกอ่อนและเอ็นภายในข้อเข่าไปมากแล้ว รวมถึงมีการผิดรูปของแนวขาร่วมด้วย การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ได้ในคราวเดียว
(Figure 1: Total Knee Arthroplasty: TKA/TKR)
เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ไม้ช่วยพยุงการเดินในช่วงแรกโดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ รวมถึงการจัดบ้านให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย ออกกำลังกายตามที่แพทย์และนักกายภาพบำบัดแนะนำก่อนกลับบ้าน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและต้นขา และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าด้วยเช่นกัน และควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด
ทั้งนี้ ควรหมั่นสังเกตภาวะติดเชื้อในข้อเข่าเทียมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ภายใน 1 ปีหลังการผ่าตัด เช่น แผลผ่าตัดมีลักษณะปวดบวมแดงร้อน การมีไข้สูงนานๆ หรืออาการปวดเข่าข้างที่ผ่าตัดมากๆ หากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้ผู้ป่วยรีบติดต่อแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด
ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นยืนจากท่านั่ง รวมถึงสามารถเดินลงน้ำหนักขาข้างที่ผ่าตัดได้เต็มที่โดยใช้ไม้พยุงหรือวอล์กเกอร์ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด หรือวันรุ่งขึ้น หากผู้ป่วยไม่สามารถทำได้ก็มักจะให้ลงเดินภายใน 1-2 วัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะสามารถกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติภายใน 6 เดือน – 1 ปีหลังจากผ่าตัด แต่พบได้ไม่น้อยที่สามารถกลับไปดำเนินชีวิตปกติได้เร็วกว่านี้ คือ ภายใน 3 เดือนหลังการผ่าตัด
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ป่วยมักถามแพทย์อยู่เสมอ จริงๆ แล้วอายุการใช้งานของข้อเข่าเทียมนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การผ่าตัดนั้นทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ การเลือกเทคนิคการผ่าตัดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับความรุนแรงของโรคหรือไม่ หรือคนไข้มีการใช้งานข้อเข่าหลังผ่าตัดอย่างไร ใช้งานข้อเข่าหนักหน่วงมากแค่ไหน มีงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Lancet พบว่า ในบรรดาผู้ป่วยมากกว่า 55,000 คนที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า มีเพียง 3.9% เท่านั้นที่เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขในช่วง 10 ปี และ 10.3% เท่านั้นที่เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขในช่วง 20 ปีหลังการผ่าตัดครั้งแรก
และยังมีอีกหลากหลายการศึกษาที่พบว่า มากกว่า 90-95% ของผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด ยังสามารถใช้ข้อเข่าเทียมได้ดีถึงแม้ว่าจะผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 10 ปีก็ตาม จึงสามารถบอกได้ว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10-20 ปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะใช้ได้ข้อเข่าเทียมได้ยาวนานแค่ไหนก็ขึ้นกับอีกหลากหลายปัจจัยข้างต้นด้วยเช่นกัน
ผู้ป่วยสามารถเลือกการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือดและกล้ามเนื้อให้สูงขึ้นได้ เช่น การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน การออกกำลังกายในน้ำ เป็นต้น อีกทั้งการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ายังช่วยยืดอายุข้อเข่าเทียมให้ใช้งานได้นานขึ้นอีกด้วย
ในส่วนของกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ได้แก่ กีฬาที่มีแรงกระแทกรุนแรงต่อข้อเข่า หรือมีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล แบดมินตัน การวิ่ง เทนนิส เพราะแรงกระแทกจะทำให้ส่วนที่เป็นพลาสติกโพลีเอทิลีนในข้อเข่าเทียมเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือแม้แต่การยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงกิจกรรมที่มีการพับงอข้อเข่ามากๆ เช่น การนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่า การนั่งขัดสมาธิ การนั่งยองๆ ในส่วนของห้องน้ำแนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นชักโครกแทนการนั่งยองๆ จะดีที่สุด
แน่นอนว่าข้อเข่าและกระดูกในร่างกายของเรามีวันที่จะเสื่อมไปตามอายุและวัยของเรา หากผู้ป่วยมีอาการของภาวะข้อเข่าเสื่อมและยังไม่อยากผ่าตัด ก็สามารถเริ่มดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ เช่น
ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้น รักษาด้วยวิธีไหนๆ ก็ไม่หาย หรือมีความผิดรูปเกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะการผ่าตัดอาจจะซับซ้อนมากขึ้น และผลลัพธ์หลังการผ่าตัดที่อาจไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรีบมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมให้เร็วที่สุด
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่