คนไทยรู้จักโรคกระเพาะอาหารมาเนิ่นนานว่าเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา รับประทานอาหารรสจัด และปล่อยให้กระเพาะว่างจนกรดในกระเพาะกัดกระเพาะเป็นแผล มีอาการปวดท้อง เป็นๆ หายๆ ก่อนและหลังเวลาอาหาร และอาการจะทุเลาหากได้รับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงมักถูกละเลย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะซื้อยาลดกรดมารับประทานเอง เมื่ออาการดีขึ้นก็ถูกมองข้าม ซึ่งในความจริงแล้ว โรคกระเพาะอาหารต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยจนเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหารมี สาเหตุหลักจากการเสียสมดุลของกรดภายในกระเพาะอาหาร ที่ไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารไขมันสูงและอาหารรสจัด
รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
และอีกสาเหตุสำคัญของโรคนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มักจะมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารมากถึง 90%
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรีย ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร มีการถ่ายทอดจากคนสู่คน จากการรับประทานอาหารและใช้อุปกรณ์การปรุงที่สกปรกปนเปื้อน เชื้อจะเข้าสู่กระเพาะอาหารและเลื่อนเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร
ปกติแบคทีเรียหลายชนิดไม่สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากถูกกรดทำลาย แต่เชื้อเอชไพโลไร มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร รวมถึงสามารถผลิตด่างขึ้นป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลาย และแทรกอยู่ระหว่างช่องเซลล์ของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้เชื้อนี้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะผู้ติดเชื้อนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆ
แต่หากมีการติดเชื้อแบบเฉียบพลันหรือในปริมาณมาก จะมีอาการเหมือนกระเพาะอาหารอักเสบ โดยมีไข้ ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไป ขณะที่ผู้รับเชื้อในปริมาณน้อยอาจไม่มีอาการใดๆ เลย แต่เชื้อจะฝังตัวอยู่ในกระเพาะอาหารไปเรื่อยๆ จน ความแข็งแรงของผิวเยื่อบุลดลง ส่งผลให้กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังหรือเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด
หลังจากแพทย์ทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย อาจส่งตรวจเพิ่มเติมดังนี้
เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่มีสูตรเฉพาะ เนื่องจากแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะมีโอกาสดื้อยาสูง สูตรของยาปฏิชีวะมีความหลากหลาย ต้องใช้ร่วมกัน 2-3 ชนิด ซึ่งต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์ ตามความเหมาะของยาและผู้ป่วยแต่ละบุคคล
นอกจากนี้หากพบผู้ป่วยติดเชื้อภายในครอบครัวที่ใช้ชีวิตร่วมกันหรือรับประทานอาหารสำรับเดียวกัน ควรเข้ารับการตรวจเชื้อ เพื่อทำการรักษาไปพร้อมๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ
แม้โรคกระเพาะอาหารจะเป็นโรคที่ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่การปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้นหากเริ่มมีอาการปวดท้อง แสบท้อง แน่นเฟ้อที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยงที่ชอบรับประทานอาหารดิบ หรือมีบุคคลในครอบครัวมีเคยตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีให้หายขาด
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่