เซ็กส์กับวัยรุ่น

เซ็กส์กับวัยรุ่น

HIGHLIGHTS:

  • วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ เป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตและฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลงพร้อมที่จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จึงเริ่มให้ความสนใจกับเพศตรงข้าม เริ่มอยากรู้อยากลองสิ่งต่างๆ ต้องการมีความเป็นอิสระของตัวเอง
  • ผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ ส่วนใหญ่ติดโรคนี้จากการมีเพศสัมพันธ์ถึง 50-70 %
  • การคุมกำเนิดด้วยวิธีใดก็ตามไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพได้100% ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ควรอยู่ในช่วงวัย ช่วงเวลาที่เหมาะสม และรู้จักวิธีป้องกันที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ช่วงวัยของเด็กๆ ที่เรียกว่าเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ผู้หญิงจะอยู่ที่ช่วงอายุประมาณ 10-20 ปี ส่วนผู้ชายจะช้ากว่าโดยอยู่ในช่วงอายุประมาณ 12-22 ปี วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตและฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลงพร้อมที่จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จึงเริ่มให้ความสนใจกับเพศตรงข้าม เริ่มอยากรู้อยากลองสิ่งต่างๆ ต้องการมีความเป็นอิสระของตัวเอง

ปัจจุบันปัญหาการท้องก่อนวัยอันควร รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นับว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นและมักพบโรคในกลุ่มวัยรุ่นในสัดส่วนที่มากยิ่งขึ้น  เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ห้ามกันไม่ได้ ใจร้อน ไม่วางแผนและไม่คิดที่จะป้องกัน แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและแนะนำการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย ซึ่งการป้องกันไม่ได้แตกต่างกับผู้ใหญ่ เพียงแต่วัยรุ่นต้องรู้จักป้องกันตัวเองเท่านั้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD (Sexually Transmitted Disease) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่วัยรุ่นควรรู้ไว้นั้นมีมากมาย ไม่อย่างนั้นจะส่งผลร้ายต่อตัวเอง อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

  • โรคเอดส์ (HIV) หรือ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • โรคหนองในเทียม (Chlamydia) หรือคนไทยจะรู้จักกันในชื่อ “ฝีมะม่วง” เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคซึ่งไม่ใช่หนองในแท้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบ
  • โรคติดเชื้อทริโคโมนาส (Trichomoniasis / Trich) โรคติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งปกติมักอาศัยอยู่ในช่องคลอด แต่ก็พบเชื้อนี้อาศัยอยู่ในท่อปัสสาวะ (องคชาติ) ของผู้ชายเช่นกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการใดๆ แต่บางคนอาจตกขาวสีเหลือง เป็นฟอง คันที่อวัยวะเพศหรือเจ็บช่องคลอด ส่วนผู้ชายมักจะไม่มีอาการ แต่อาจทําให้ปัสสาวะขัด
  • โรคหนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrane เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ, ช่องคลอด, ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก  เยื่อบุตา ปาก และคอ
  • โรคหูดหงอนไก่ (Human Papilloma Virus / HPV) เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบบ่อย มากกว่า 100 สายพันธุ์ โรคเกิดบริเวณอวัยวะเพศ และส่วนใหญ่ติดโรคนี้จากการมีเพศสัมพันธ์ 50-70% โดยหูดจะขึ้นเป็นติ่งเนื้องอกอ่อน ๆ มีสีชมพูหรือสีเนื้อ ผิวขรุขระ เริ่มจากขนาดเล็ก ๆ แล้วขยายตัวลุกลามใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนคล้ายหงอนไก่หรือรูปทรงเหมือนดอกกะหล่ำ
  • เริม (Genital herpes) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มาจากเชื้อ herpes simplex virus type 1 (HSV-1) หรือ type 2 (HSV-2) เชื้อชนิดที่ 2 เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศ อาจลามติดเชื้อไปที่ส่วนอื่นของร่างกายและทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ บนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
  • ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล
  • โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี  เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ ซึ่งผู้ที่มีเชื้ออาจไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย

วิธีป้องกันตัวเองเมื่อมีเพศสัมพันธ์

1. การใส่ถุงยางอนามัย

คงเป็นวิธีที่หลายคนคงเคยได้ยินอยู่แล้ว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด มีประสิทธิภาพสูง การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ในปัจจุบันนี้มีการผลิตถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง โดยการใส่ลงไปในช่องคลอด แต่ในประเทศไทยยังไม่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นจึงถือว่าเยาวชนหรือวัยรุ่นผู้หญิงเองอาจต้องรู้ไว้เพื่อการป้องกัน

ที่บอกว่าการใช้ถุงยางอนามัยเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิของผู้ชายเข้าไปในร่างกายของฝ่ายหญิง และถุงยางทำจากยางธรรมชาติมีคุณภาพสูงไม่ขาดหรือรั่วได้ง่ายขณะมีเพศสัมพันธ์  สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับร่างกาย

2. การกินยาคุมกำเนิด

ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่มีการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ โดยทั่วไปการกินยาคุมกำเนิดจะเป็นการกินฮอร์โมนรวมหรือฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและหรือทำให้มูกบริเวณปากมดลูกหนาขึ้นทำให้สเปิร์มไม่สามารถปฏิสนธิกับไข่ และอาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัว ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิดที่คนนิยมซื้อมากินจะเป็นแบบกินต่อเนื่อง 21 เม็ดและ 28 เม็ด

3. การกินยาคุมฉุกเฉิน

วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ฉุกเฉินเท่านั้นหรือใช้เมื่อมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ได้ป้องกัน หรือกรณีอื่น เช่น ถุงยางรั่วหรือขาดขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งโดยปกติการกินยาฉุกเฉินจะกิน 2 เม็ดโดยเม็ดแรกควรกินทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์หรือควรกินภายใน 24 ชั่วโมงและกินเม็ดที่สองหลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมงจะช่วยทำให้ยามีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากรับประทานยาทั้ง 2 เม็ดแล้วภายใน 1 สัปดาห์หลังจากนั้นจะมีประจำเดือน การกินยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้มีผลข้างเคียง เช่น อาเจียน เวียนศีรษะ หากมีอาการที่ผิดปกติควรรีบพบแพทย์

ในปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วทำให้วัยรุ่นรู้จักคบหากันง่ายขึ้น ฉาบฉวยขึ้น เรื่องเพศสัมพันธ์วัยรุ่นที่เกิดขึ้นเร็วจึงกลายเป็นของคู่กัน ดังนั้น ถ้าวัยรุ่นมีวิธีป้องกันด้วยวิธีต่างๆ ตามที่กล่าวมา ก็จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีใดก็ตามไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพได้100% ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ควรอยู่ในช่วงวัย ช่วงเวลาที่เหมาะสม และรู้จักวิธีป้องกันที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?