เที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัย สำหรับเด็กและผู้สูงอายุ

เที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัย สำหรับเด็กและผู้สูงอายุ

Highlight

  • ช่วงที่อากาศเย็น โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจแพร่ระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะ RSV เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน หากติดเชื้อ RSV ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีจำนวน 5-10% ที่ต้องเข้าไอซียู 
  • พ่อแม่ผู้ปกครองต้องระมัดระวัง ให้ลูกเล็กหรือที่น้ำหนักไม่เกิน 35 กิโลกรัมนั่งคาร์ซีทขณะเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงมากหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด ส่วนเด็กโตก็ต้องคาดเข็มนัดนิรภัยเช่นเดียวกับผู้ใหญ่  
  • สำหรับผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนออกเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางที่ใช้เวลานานและไกล เพื่อดูว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน สำหรับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์ก่อนเดินทางเพื่อรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพระหว่างการท่องเที่ยว 

ช่วงเทศกาลต่างๆ  เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย เพราะนอกจากจะได้ไปท่องเที่ยว แล้ว บางคนก็ถือโอกาสนี้เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปใช้เวลากับคนในครอบครัว แต่ในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดแพร่กระจาย เราก็อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีทั้งเด็กและผู้สูงอายุ แล้วจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรเพื่อให้ทุกคนในบ้านท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย

คำแนะนำในการเดินทางท่องเที่ยวสำหรับเด็ก

ช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่ตรงกับฤดูหนาว ซึ่งนอกจากอากาศจะเย็นลงแล้ว ยังส่งผลให้โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจแพร่ระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะโรค RSV (Respiratory Syncytial Virus) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ทำให้หลอดลมอักเสบและปอดอักเสบ โดยโรคนี้เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับเด็กและมีอาการรุนแรง ที่สำคัญ RSV เป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาด ทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ซึ่งจากสถิติพบว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนกว่า 1 ใน 3 ราย เมื่อติดเชื้อ RSV จะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และ 5-10% ต้องนอนรักษาตัวในไอซียู   

ลูกเป็นไข้ ดูแลเบื้องต้นได้อย่างไร 

ดังนั้น ในกรณีที่ลูกหลานมีอาการเจ็บป่วยทั่วไปในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เช่น ตัวร้อน มีไข้ มีน้ำมูก ผู้ปกครองสามารถดูแลเบื้องต้นได้ โดยการใช้น้ำเกลือล้างจมูกและให้เด็กดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ หรือถ้ามีไข้ก็ให้รับประทานยาพาราเซตามอล และเช็ดตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดไข้ รวมถึงการดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและละลายเสมหะได้ แต่ถ้ารักษาตามอาการแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที  

และเนื่องจากเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเด็กในด้านต่างๆ และควรให้เด็กๆ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงให้เด็กสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้านและล้างมือบ่อยๆ เพื่อความปลอดภัย  

คาร์ซีท (Car seat) เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย 

นอกจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรระมัดระวังในการพาลูกไปเที่ยวในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวก็คือ การเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้น เด็กๆ จึงควรนั่งอยู่ในคาร์ซีทมากกว่านั่งอยู่บนตักของพ่อแม่ เพราะเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน คาร์ซีทจะสามารถช่วยลดแรงกระแทกและลดความรุนแรงจากผลกระทบที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเด็กได้  

ซึ่งวิธีนั่งคาร์ซีทที่ถูกต้องสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ที่สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) แนะนำก็คือ ต้องหันคาร์ซีทไปด้านหลัง โดยให้เด็กหันหลังเข้าหน้ารถ และหันหน้าเข้าหลังรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือมีการเบรกอย่างรุนแรง เด็กจะโน้มตัวไปด้านหลัง ซึ่งคาร์ซีทจะช่วยลดอาการบาดเจ็บช่วงกระดูกสันหลังคอได้ เพราะมีซัพพอร์ทที่คอ ตำแหน่งที่ควรติดตั้งคาร์ซีทคือ บริเวณเบาะหลัง เพราะถ้าหากวางคาร์ซีทไว้ที่เบาะหน้า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยที่อยู่เบาะหน้าอาจก่อให้เกิดอันตรายกับเด็กได้ เมื่อโตขึ้นจนถึงอายุ 4-7 ปี จึงเปลี่ยนมาเป็นบูสเตอร์ซีท เพื่อรองรับสรีระของเด็กที่ขยายใหญ่ขึ้น และเมื่อเด็กมีน้ำหนักมากกว่า 35 กิโลกรัม จึงค่อยเปลี่ยนมาคาดเข็มนัดนิรภัยเหมือนผู้ใหญ่

คำแนะนำในการเดินทางท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ

เช็คก่อนออก ตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทาง 

ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนออกเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางที่ใช้เวลานาน ระยะทางไกล และต้องมีการออกแรง เช่น ต้องมีการเดินมากกว่าปกติ หรือไปในที่ๆ มีสภาพอากาศไม่เหมือนกับบ้านเรา เพื่อเช็กว่าร่างกายมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน สำหรับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วควรขอคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพระหว่างการท่องเที่ยว เช่น  

  1. การปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมโรคประจำตัวก่อนออกเดินทาง 
  2. ข้อควรระวัง หรือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการท่องเที่ยว 
  3. อาการที่ต้องเฝ้าระวัง รวมถึงวิธีดูแลรักษาเบื้องต้น  
  4. การปรับเวลาเพื่อใช้ยาบางประเภท เช่น ยาเม็ดลดเบาหวาน ยาฉีดอินซูลิน ยาลดความดันโลหิต หรือยาขับปัสสาวะ เพราะการเดินทางไปต่างประเทศต้องมีการเปลี่ยนโซนเวลา ดังนั้น จึงต้องปรับเวลาในการใช้ยาให้เหมาะสมด้วย  
  5. ขอเอกสารที่ระบุรายละเอียดของโรคประจำตัวและยาที่ใช้ รวมถึงข้อมูลการติดต่อของแพทย์และประกันสุขภาพ หรือประกันการเดินทางในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และควรเก็บยาประจำตัวไว้ในภาชนะที่มีชื่อยาและวิธีการรับประทานที่ชัดเจน พกติดตัวไว้ตลอด  
  6. ในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะๆ เช่น เดินป่า ขึ้นเขา ว่ายน้ำ ดำน้ำ ปั่นจักรยานหรือวิ่งระยะไกล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเช็กความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงสมรรถนะของกระดูกและกล้ามเนื้อ เพื่อที่แพทย์จะได้แนะนำวิธีเตรียมความพร้อมก่อนทำกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม และป้องกันภาวะฉุกเฉิน เช่น หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันขณะทำกิจกรรมได้  

นั่งปลอดภัย ผู้สูงอายุขึ้นเครื่องบิน หรือรถยนต์ควรเตรียมตัวอย่างไร 

การโดยสารรถยนต์หรือเครื่องบินเป็นเวลานานๆ สำหรับผู้สูงอายุ อาจเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา เกิดเป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระดับลึก (DVT : Deep Venous Thrombosis) โดยผู้สูงอายุที่เป็นโรคนี้จะมีอาการขาบวม เนื่องจากลิ่มเลือดไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด และมีโอกาสที่ลิ่มเลือดจะหลุดลอยผ่านห้องหัวใจไปอุดตันที่หลอดเลือดในปอด ซึ่งอาจทำให้ปอดและหัวใจล้มเหลวได้  

แต่เราสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้ด้วยการปรึกษาแพทย์ก่อนออกเดินทาง โดยแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาแอสไพรินขนาดต่ำในวันเดินทาง และสวมถุงน่องรัดขาแบบยืดหยุ่น นอกจากนี้ การใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ ไม่คับจนเกินไป งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการนั่งไขว่ห้างนานๆ รวมถึงการพยายามเคลื่อนไหวง่ายๆในขณะที่อยู่บนยานพาหนะ เช่น เขย่งปลายเท้าขึ้นลงซ้ำๆ หรือนั่งเหยียดขาและกระดกข้อเท้าขึ้นลง ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ 

เดินไม่ล้ม วิธีป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ก่อนเที่ยววันหยุด 

ผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเสื่อม น้ำหนักน้อยหรือมากเกินเกณฑ์ปกติ มวลกล้ามเนื้อน้อยและไม่แข็งแรง ป่วยเป็นโรคทางระบบประสาท เช่น หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก สมองเสื่อม พาร์คินสัน ภาวะอารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้า ปลายประสาทชาจากเบาหวาน หรือกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท จะมีความเสี่ยงต่อการหกล้มมากกว่าผู้สูงอายุในวัยเดียวกัน นอกจากนี้ การใช้ยาบางประเภท เช่น ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้ผู้ใช้หกล้มได้ง่าย ดังนั้น ทางที่ดี เราจึงควรเตรียมพร้อมให้กับผู้สูงอายุก่อนการเดินทาง ดังนี้  

  1. ออกกำลังกาย โดยเน้นไปที่การบริหารและยืดเหยียดกล้ามเนื้อต้นขา น่อง สะโพก และหลังส่วนล่างเป็นประจำ  
  2. ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และพักผ่อนให้เพียงพอ 
  3. เลือกรองเท้าที่เหมาะกับการเดินและกระชับเท้ามากที่สุด รวมถึงเลือกเสื้อผ้าที่ทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวก  
  4. ศึกษาสถานที่ๆ จะไปว่ามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุอยู่ตรงจุดใดบ้าง เช่น ห้องน้ำแบบที่มีชักโครก ห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ทางลาด ราวจับ จุดนั่งพัก จุดบริการอาหารและเครื่องดื่ม บันไดเลื่อน ลิฟท์ หรือถ้ามีอุปกรณ์ช่วยเดินก็ควรนำติดตัวไปด้วยทุกครั้ง  
  5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม  
  6. หากเริ่มมีอาการเดินเซ คล้ายจะหกล้มบ่อยๆ รู้สึกไม่มั่นคงเวลาเคลื่อนไหว หรือรู้สึกว่าขยับตัวได้ช้าลง มีอาการปวดข้อเข่า สะโพก หรือหลังเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและประเมินความสามารถในการทรงตัว   

ฉีดให้ชัวร์ ก่อนไปเที่ยว ผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคอะไรบ้าง 

ผู้สูงอายุมักมีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำกว่าวัยอื่นๆ ดังนั้น การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อสำหรับผู้สูงอายุจึงมีความจำเป็น ซึ่งวัคซีนที่ผู้สูงอายุจำเป็นต้องฉีด ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ซึ่งทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงอาจต้องฉีดวัคซีนพิเศษเพิ่มเติมหากเดินทางไปยังบางประเทศ ข้อมูลวัคซีนสำหรับการเดินทางไปประเทศต่างๆสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซด์ Travelers’ Health ของ CDC 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดและส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่นๆ ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (CDC) พบว่า ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ในวัย 60 และ 70 ปี มักมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ที่ติดโควิดในวัย 50 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิดมากที่สุด และอัตราเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบุคคลนั้นมีโรคประจำตัว ดังนั้น ก่อนการเดินทาง ผู้สูงอายุจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ครบตามกำหนด เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและลดโอกาสที่นำเชื้อมาเผยแพร่ให้กับคนในครอบครัว  

การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพที่รัดกุมและครอบคลุมก่อนการเดินทาง แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งถ้าเราทำได้ ทริปท่องเที่ยวต่างๆ นั้นก็จะเป็นทริปที่เต็มไปด้วยสุขสนุกสนานและปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัวแน่นอน 

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?