แพทย์แผนจีน เป็นศาสตร์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นศาสตร์ที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เน้นการรักษาแบบองค์รวม โดยการปรับสมดุลภายในร่างกาย ซึ่งโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่สามารถให้การรักษาได้ด้วยแพทย์แผนจีนนั้น มีดังนี้
ประจำเดือนไม่ปกติหมายถึงการมีรอบเดือนผิดปกติ รอบเดือนมาก่อนหรือหลังกำหนด รอบเดือนไม่แน่นอน หรือมีความผิดปกติของลักษณะ สี ปริมาณ เช่น ปริมาณมากหรือน้อยผิดปกติ รวมถึงอาการหงุดหงิด โมโห เศร้า กินจุ สิวขึ้น ปวดท้องประจำเดือน เครียด นอนไม่หลับ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่มีประจำเดือน หรือก่อนและหลังมีประจำเดือน
การรักษา: สามารถฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ปรับเลือดให้ประจำเดือนมาได้ดีขึ้น
การฝังเข็มควรทำ 3-5 วันก่อนมีรอบเดือนในแต่ละครั้ง รักษาติดต่อกัน 1 คอร์ส หรือ 10 ครั้ง โดย 4 ครั้งแรกเป็นการฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลร่างกาย หลังจากนั้นเน้นการปรับการไหลเวียนของเลือด
เกิดจากร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป โดยหากมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน 20% ขึ้นไป จะเป็นภาวะโรคอ้วน โดยโรคอ้วนแบ่งเป็น Simple obesity และ Secondary obesity ประเภทแรกมักไม่มีความเด่นชัดของการทำงานของระบบประสาทและต่อมไร้ท่อที่ผิดปกติ ประเภทที่ 2 มักเกิดจากโรคทางระบบประสาท ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึมหรือการรับประทานยา
การรักษาโดยแพทย์แผนจีนจะรักษาผู้ป่วยกลุ่ม Simple obesity โดยผู้ที่มีภาวะอ้วนส่วนมากจะเจริญอาหาร มีความชื้นสะสมเกิดเป็นเสมหะ ท้องอืด ไม่มีแรง เคลื่อนไหวช้า เคลื่อนไหวร่างกายแล้วมีเหงื่อออกมาก ใบหน้าและแขนขาบวม อาจมีโรคเบาหวานและไขมันสูงร่วมด้วย
การฝังเข็ม ลดน้ำหนัก รักษาโรคอ้วน: ฝังเข็มเพื่อปรับชี่ (ลมปราณ) กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด ทะลวงเส้นลมปราณ แก้ท้องผูก ขับความชื้น
ฝังเข็ม 1 คอร์ส หรือ 15 ครั้ง โดยสัปดาห์แรกที่รับการรักษาควรทำวันเว้นวัน จากนั้นค่อยเว้นเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน การเปลี่ยนแปลงหลังจากการฝังเข็มไปแล้ว 5 ครั้ง จะรู้สึกได้ถึงรูปร่างที่กระชับขึ้น ครั้งที่ 6-7 ขึ้นไป น้ำหนักจะค่อย ๆ ลดลง
หมายเหตุ: การฝังเข็มช่วยทำให้ปรับระบบการขับถ่าย ขับความชื้น ช่วยลดความหิว การเห็นผลมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
เด็กอายุที่เกิน 3-4 ขวบ มักจะสามารถควบคุมปัสสาวะเวลานอนได้ แต่หากไม่สามารถควบคุมปัสสาวะได้ มีการปัสสาวะรดที่นอน 1-2 ครั้งต่อคืน ก่อนปัสสาวะรดที่นอนมักเรียกตื่นลำบาก ตื่นขึ้นมาไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่หลังจากปัสสาวะแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมารู้สึกตัวดี อาจเกิดจากไตทำงานได้ไม่ดี และมีการเจริญเติบโตของร่างกายค่อนข้างช้าร่วมด้วย
*ยกเว้นกรณีที่เกิดจาก Spina bifida occulta ไม่อยู่ในขอบข่ายของการรักษา
การรักษา: ฝังเข็มบำรุงไต กระตุ้นการทำงานของสมอง
ฝังเข็มสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยครบ 10 ครั้ง มักจะรักษาอาการให้หายได้
อาการต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาทางผิวหนัง เป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะไม่สมดุลหรือมีการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย สิวที่เกิดขึ้นบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะภายใน อาจเกิดจากฮอร์โมน การมีรอบเดือน ระบบเลือด ท้องผูก พักผ่อนไม่เพียงพอ
การฝังเข็ม หน้าใส รักษาสิว: ในทางแพทย์แผนจีนจะใช้วิธีการรักษาด้วยการฝังเข็มบนใบหน้าเพื่อลดการอักเสบ บวม แดงของสิว และฝังเข็มบนร่างกาย เพื่อปรับระบบเลือด ปรับสมดุลการทำงานของร่างกายเพื่อลดการเกิดสิวในอนาคต
ฝังเข็ม 1 คอร์ส หรือ 10 ครั้ง สัปดาห์แรกที่รับการรักษาควรทำสัปดาห์ละ 2-3 วัน หลังจากนั้นควรทำสัปดาห์ละ 1-2 วัน จนกว่าจะจบคอร์ส (ฝังเข็มลดสิวเห็นผลชัดเจนได้ตั้งแต่ครั้งที่ 4-5 ทั้งนี้ขึ้นกับร่างกายของแต่ละบุคคล)
โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร รู้สึกมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ร่วมกับมีอาการเรอ ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก จุกคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณคอ
ในรายที่เป็นมาก จะมีความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ขึ้นมาที่หน้าอกและคอ มักเกิดหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนักและการนอนหงาย อาจเป็นมากจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
การรักษา: การฝังเข็มจะช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของกระเพาะอาหาร ลดปริมาณการหลั่งน้ำย่อย ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด
ในรายที่มีอาการไม่มาก ฝังเข็ม 5 ครั้ง/คอร์ส (สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) อาการจะทุเลาลงภายใน 1-3 ครั้ง แต่ในรายที่เป็นมาก เรื้อรัง ฝังเข็ม 10 ครั้ง/คอร์ส (สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) จะทุเลาลงภายใน 3-5 ครั้ง
เป็นโรคในกลุ่ม Eating disorder หรือพฤติกรรมการกินผิดปกติ จัดเป็นโรคทางจิตเวชที่สามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้ โดยผู้ป่วยโรคนี้จะกินแบบเป็นช่วง ๆ เช่น ต้องกินทุก 2 ชั่วโมง โดยปริมาณอาหารที่กินจะเยอะกว่าคนทั่วไป (กินเร็วกว่าปกติ กินจนรู้สึกจุก กินมากแม้จะไม่รู้สึกหิว รู้สึกรังเกียจตัวเอง ซึมเศร้า หรือรู้สึกผิดหลังจากกินมาก ๆ ไปแล้ว) สาเหตุยังระบุไม่ได้แน่ชัด แต่ผู้ที่เป็นโรคกินไม่หยุดอาจใช้การกินจนเกินพอดีเป็นวิธีรับมือกับความโกรธ ความเศร้า ความเบื่อหน่าย ความวิตกกังวล หรือความเครียด จนเกิดเป็นความเคยชินและเป็นโรคในที่สุด
การรักษา: ฝังเข็มเพื่อปรับลดความอยากอาหาร ลดการหลั่งน้ำย่อย ปรับสมดุลกระเพาะอาหาร
รักษาด้วยการฝังเข็ม 10 ครั้ง/คอร์ส (สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นกับอาการของแต่ละบุคคล) โดยอาการจะทุเลาลงภายใน 3-5 ครั้ง และรักษาต่อเนื่องเพื่อการปรับสมดุลกระเพาะอาหาร
ท้องผูก คือภาวะที่ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับการขับถ่ายยาก นั่งนานเกินครึ่งชั่วโมงเพื่อเบ่งถ่าย บางครั้งต้องใช้น้ำฉีด ใช้นิ้วล้วง ถ่ายไม่สุด เหมือนมีอะไรมาอุดกั้นอยู่ ถ่ายออกมาน้อย อุจจาระแข็งมีลักษณะเป็นเม็ด ผิวขรุขระหรือแห้งแตก รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง สาเหตุอาจเกิดจากการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้อง เช่น รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกายหรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย กลั้นอุจจาระบ่อย ๆ การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หรือภาวะลำไส้เฉื่อย คือการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยลงทำให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ
การรักษา: ฝังเข็มเพื่อช่วยในการปรับสมดุล กระตุ้นการทำงานของลำไส้และระบบทางเดินอาหาร ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่าย
ในรายที่มีอาการไม่มาก ฝังเข็ม 5 ครั้ง/คอร์ส (1-2 ครั้ง/สัปดาห์) อาการจะทุเลาลงภายใน 1-3 ครั้ง ส่วนในรายที่เป็นมากและเรื้อรัง ฝังเข็ม 10 ครั้ง/คอร์ส (2-3 ครั้ง/สัปดาห์) อาการจะทุเลาลงภายใน 3-5 ครั้ง
ลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำไส้ โดยที่ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ที่โครงสร้างของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและไม่มีพยาธิสภาพอื่นๆ จัดว่าเป็นโรคในกลุ่ม Functional Bowel Disorder ชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก โดยไม่ทราบสาเหตุ โรคนี้ยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติของการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังลำไส้ (การบีบตัวหรือการเคลื่อนตัวของลำไส้ผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนบางอย่างในผนังลำไส้ผิดปกติ / ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ / ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์)
การรักษา: การฝังเข็มจะช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของหัวใจ ตับ และระบบทางเดินอาหาร ร่วมกับการปรับสมดุลทางด้านอารมณ์
รักษาด้วยการฝังเข็ม 20 ครั้ง/คอร์ส (2-3 ครั้ง/สัปดาห์) จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 ครั้ง
ได้แก่ จมูกได้กลิ่นน้อยลง (Hyposmia) จมูกไม่ได้กลิ่นเลย (Anosmia) จมูกได้กลิ่นเปลี่ยนไปหรือแปลกไป (Dysosmia) ผู้ป่วยที่ประสบปัญหานี้จะขาดความสุขในการรับกลิ่น การสัมผัสกับรสชาติอาหาร ทั้งยังขาดการรับรู้ถึงอันตรายต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง อาทิ กลิ่นแก๊สรั่ว กลิ่นไฟไหม้ เป็นต้น โดยผู้ป่วยที่เป็นชนิดเรื้อรังจะมีการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก โพรงไซนัส ทำให้กลิ่นส่งไปไม่ถึงปลายประสาทรับกลิ่น มีการได้รับสารเคมีบางอย่างที่ทำลายการรับกลิ่น อาทิ การได้รับกลิ่นฟอร์มาลีนเป็นเวลานาน อาจทำให้ปลายประสาทอักเสบและตายลงบางส่วน ส่งผลให้การรับกลิ่นลดลงหรือไม่ได้กลิ่นหรืออาจมีความเสื่อมตามอายุที่เพิ่มขึ้น
การรักษา: การฝังเข็มจะสามารถช่วยฟื้นฟูประสาทรับกลิ่นได้ ในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังข้างต้น
รักษาด้วยการฝังเข็ม 20 ครั้ง/คอร์ส (2-3 ครั้ง/สัปดาห์ในช่วง 10 ครั้งแรก หลังจากนั้น 1-2 ครั้ง/สัปดาห์) เริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของโรค
ผู้ป่วยจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว หายใจติดขัด จุกแน่น เวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม ร่วมกับมีภาวะวิตกกังวล ขาดความมั่นใจในตัวเอง โดยการเกิดครั้งแรกจะเกิดขึ้นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีเรื่องกดดันหรือถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว อาจเกิดขึ้นได้อีกบ่อย ๆ โดยไม่ทราบล่วงหน้า สาเหตุมาจากการถูกกระทบกระเทือนทางอารมณ์และจิตใจ ตรวจไม่พบความผิดปกติใด ๆ ทางร่างกาย
การรักษา: การฝังเข็มจะช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของหัวใจและตับ เพิ่มการหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และช่วยผ่อนคลายความเครียด
รักษาด้วยการฝังเข็ม 10 ครั้ง/คอร์ส (2-3 ครั้ง/สัปดาห์) อาการจะทุเลาลง ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้นภายใน 3-5 ครั้ง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดแบบตุบๆ เป็นจังหวะ มักเกิดข้างเดียวของศีรษะ แต่ก็เป็นทั้งสองข้างได้ โดยอาการปวดในช่วงแรกมักมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อย และจะค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง และไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นมากขึ้น โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่มีปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิง ความเครียด สภาพแวดล้อม เช่น แสงจ้าหรือแสงแฟลช เสียงดัง กลิ่นที่รุนแรง การใช้ยาบางชนิด การนอนหลับไม่เพียงพอ ออกกำลังกายหักโหม การสูบบุหรี่ อาการถอนคาเฟอีน เป็นต้น
การรักษา : การฝังเข็มจะช่วยในการปรับสมดุล เพิ่มการหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณศีรษะดีขึ้น และช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อใกล้เคียง
ในรายที่มีอาการไม่มาก ฝังเข็ม 5 ครั้ง/คอร์ส (1-2 ครั้ง/สัปดาห์) อาการจะทุเลาลงภายใน 1-3 ครั้ง ส่วนในรายที่เป็นมากหรือเรื้อรัง ฝังเข็ม 10 ครั้ง/คอร์ส (2-3 ครั้ง/สัปดาห์) อาการทุเลาลงภายใน 3-5 ครั้ง
โรคเสียงในหู คือ โรคที่ผู้ป่วยจะมีอาการมีเสียงในหู ได้ยินเสียงคล้ายเสียงจิ้งหรีด หรือเสียงจั๊กจั่นร้องดังอยู่ภายในหู หรืออาจได้ยินเป็นเสียงลมอื้อ ๆ แน่น ๆ วิ้ง ๆ อยู่ภายในหูก็ได้ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนี้อาจเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง ในบางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ หรือก็มีอาการตลอดเวลา มักจะมีเสียงดังชัดเจนขณะอยู่ที่เงียบ ๆ หรือในเวลากลางคืน
โรคเสียงในหูทางแผนจีนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
การรักษา ในกลุ่มอาการแกร่งจะเน้นวิธีการระบาย ผ่านจุดตามแนวเส้าหยางมือ-เท้าเป็นหลัก และในกลุ่มอาการพร่องจะเน้นวิธีการบำรุง ผ่านจุดตามแนวเส้าอินเท้าเป็นหลัก
โรคนอนไม่หลับ คือโรคที่ผู้ป่วยไม่สามารถนอนหลับได้ตามเวลานอนปกติ ช่วงเวลาที่เข้านอนหลับได้ไม่ลึก มีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ ตื่นกลางดึกแล้วนอนหลับต่อไม่ได้ หรือหลังจากตื่นนอนมีอาการเพลีย ไม่สดชื่น ซึ่งอาการเหล่านี้จะกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนตามเวลาที่เหมาะสม
การนอนไม่หลับจะส่งผลกับอวัยวะภายในร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนของสมอง ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้ความคิดและความจำลดลง จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่นในตอนเช้า ขอบตาดำ ใบหน้าหมองคล้ำ ดูแก่ก่อนวัย เสียบุคลิกภาพ ตลอดจนส่งผลให้เกิดโรคหรืออาการต่าง ๆ ตามมาได้
ในปัจจุบัน สาเหตุของโรคนอนไม่หลับ มีหลายสาเหตุ เช่น ผลจากอาการป่วยเรื้อรัง ความเครียด การทำงานหนักมากเกินไป ผลจากออฟฟิศซินโดรม อาการทางกายภาพต่าง ๆ ตลอดจนเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวัน
ส่วนอาการนอนไม่หลับตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนจะมุ่งเน้นไปในทางด้านการปรับสมดุลของร่างกาย โดยจะมองภาพการรักษาเป็นองค์รวม อ้างอิงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ
โดยกลุ่มอาการนอนไม่หลับ แบ่งได้ออกเป็น 5 ประเภทคือ
อาการ นอนไม่หลับ เวียนศีรษะบ่อย มีเสียงวี้ดในหู รู้สึกหูแน่นๆ ปากแห้ง ปวดเมื่อยเอว ความจำไม่ดี และมีอาการร้อนทั้ง 5 (ร้อนบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้าและหน้าอก)
การรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยการฝังเข็ม: รักษาด้วยการฝังเข็ม จะเน้นวิธีการระบาย ในกลุ่มอาการโรคที่มีอาการติดขัด หรือมีไฟและเสมหะสะสมมากเกินไป และเน้นวิธีบำรุง ในกลุ่มอาการที่มีภาวะพร่อง
วิธีการรักษา จะเน้นการใช้ฝังเข็มและทุยหนาโดยการใช้มือเพื่อทำหัตถการ โดยเน้นฝังเข็มเพื่อคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกแล้วค่อยนวดจัดกระดูกทำการปรับกระดูกส่วนต่าง ๆ ที่เคลื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
การฝังเข็มและนวดจัดกระดูก เน้นเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดการกดทับและการนวด สามารถช่วยบรรเทาปวด โดยที่ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องทานยาและยังสามารถแก้อาการปวดได้อย่างตรงจุด และเมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลายดีแล้ว จึงสามารถทำหัตถการจัดกระดูกได้ง่ายขึ้น โดยที่กล้ามเนื้อไม่อักเสบหรือบาดเจ็บ
ในปัจจุบัน อาการของผู้ป่วยที่เหมาะสมกับวิธีการนี้ สามารถใช้ได้กับโรคและอาการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ปวดต้นคอ ปวดไมเกรน ปวดศีรษะร้าวเข้าตา ปวดหลัง หมอนรองกระดูกเคลื่อน ข้อไหล่ติด ปวดข้อศอก ปวดเข่า กระดูกสันหลังผิดรูป ปวดหลังร้าวลงขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ เอ็นข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
สาเหตุที่ควรมารับการรักษาด้วยการฝังเข็มและจัดกระดูก เช่น
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่