โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot and Mouth Disease : HFMD) เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อยด้วยกัน ส่วนใหญ่เด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีโอกาสได้รับเชื้อได้บ่อย สำหรับในประเทศไทยเกิดโรคประปรายตลอดปี แต่จะเพิ่มมากขึ้นในฤดูฝน โดยทั่วไปโรคนี้มีอาการไม่รุนแรง และสามารถหายเองได้ แต่มีน้อยรายมากที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หลังจากนั้น 1-2 วัน จะมีน้ำมูก เจ็บปาก เจ็บคอ ไม่ยอมดูดนม ทานอาหารได้น้อยลง เมื่อตรวจดูภายในช่องปากพบตุ่มนูนแดงๆ หรือมีน้ำใสอยู่ข้างใต้ ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น เหงือก มีผื่นขึ้นที่มือและเท้า ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มน้ำสีขุ่นตามมา มักฝ่อแห้งไปเองโดยไม่เหลือรอย อาการทั้งหมดสามารถทุเลาและหายได้เองภายใน 7-10 วัน
แม้ว่าโรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่สามารถทุเลาและหายเองได้ แต่ในบางกรณีที่เกิดการระบาดเป็นวงกว้าง อาจพบมีผู้ติดเชื้อเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงระบบประสาท อาทิ อาการกินลำบาก (Dysphagia) แขนขาอ่อนแรง (Limb weakness) เยื่อหุ้มประสาทอักเสบ (Meningitis) เนื้อสมองอักเสบ (Encephalitis) หรือทำให้ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ อันเป็นสาเหตุให้หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ในที่สุด สำหรับประเทศไทยมีรายการผู้เสียชีวิตจากโรคมือ เท้า ปาก เพียงปีละ 1-2 รายเท่านั้น
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อจากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสเชื้อไวรัสที่ออกมาทางอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบริเวณผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ติดเชื้อ ซึ่งอาจปนเปื้อนอยู่ในอาหาร น้ำดื่ม ของเล่น หรือพฤติกรรมการดูดนิ้วมือของเด็กๆ ก็สามารถรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ หากเด็กอยู่ในสถานที่ที่มีเด็กเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น โรงเรียนอนุบาล หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ยิ่งเพิ่มโอกาสการรับเชื้อให้สูงขึ้น
ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ดังนั้นการป้องกันโรคจึงเห็นหนทางที่ดีที่สุด โดยยึดหลักการรักษาสุขอนามัย ดังนี้
ควรแยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หลังพามาพบแพทย์แนะนำให้เด็กอยู่บ้านพักรักษาตัวอย่างน้อย 5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้พ่อแม่ควรสังเกตอาการผิดปกติร่วมด้วย หากมีอาการสงสัยว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ซึม อาเจียน ชัก เป็นต้น ต้องรีบพามารักษาที่โรงพยาบาลในทันที
นอกจากนี้ไม่พาเด็กไปอยู่ในสถานที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรค สวมผ้าปิดจมูกและปากป้องกันการไอจามรดผู้อื่น และผู้ปกครองยังคงต้องหมั่นดูแลรักษาสุขอนามัยแก่เด็กเช่นเดิม
ด้วยความปรารถนาดีจาก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช
*โปรดระบุ
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่