เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยพบได้ในช่วงอายุ 20-50 ปี ในเพศชายมากพอๆ กับเพศหญิง อาการเวียนศีรษะนั้นเกิดจากการมีน้ำในหูชั้นในมากกว่าปกติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากตัวกระตุ้นหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ภาวะความเครียด การพักผ่อนน้อย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมีคาแฟอีนเป็นส่วนประกอบ การรับประทานอาหารเค็มจัด และความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย เป็นต้น
สาเหตุการเกิดอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้น อธิบายได้คร่าวๆ ว่า โดยปกติแล้วหูชั้นในมีน้ำในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทของหูชั้นในที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวและการได้ยิน โดยมีการไหลเวียนและถ่ายเทของน้ำนี้เป็นปกติ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของน้ำในหู จะกระตุ้นเซลล์ประสาทดังกล่าวให้มีการส่งสัญญานไปยังสมองเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำในหูชั้นใน เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ (Endolymphatic Hydrop) ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะตามมา ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะยาวจะทำให้ระดับการได้ยินลดลงเรื่อยๆ อาจถึงขั้นสูญเสียการได้ยิน ในระยะแรกอาจมีอาการที่หูข้างเดียว หากมีอาการรุนแรงมากขึ้น ในระยะหลังอาจมีอาการได้ที่หูทั้งสองข้าง
อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- อาการเวียนศีรษะ / บ้านหมุน มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีเหงื่อออกร่วมด้วย มักเป็นไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ในบางรายอาจเป็นนานเกินชั่วโมงได้ และอาจเป็นซ้ำได้
- การได้ยินที่แย่ลง หูอื้อ อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างได้ในรายที่โรคมีความรุนแรงมาก
- เสียงดังในหู
การรักษาและข้อควรปฏิบัติตัว
- รับประทานยาเพื่อลดอาการเวียนศีรษะ โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หากเกิดอาการขณะเดินหรือเคลื่อนไหว ควรหยุดการเคลื่อนไหว เนื่องจากอาจทำให้ผู้ป่วยเสียการทรงตัวหรือล้ม และเกิดอุบัติเหตุตามมาได้
- ควรนอนราบ จ้องมองวัตถุนิ่งที่ไม่มีการเคลื่อนไหว
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยเรือหรือเครื่องบินประมาณ 1 สัปดาห์
- งดการรับประทานอาหารบางชนิดที่ลดการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหารที่มีโซเดียมสูง รวมถึงงดสูบบุหรี่ด้วย
- หลังจากอาการดีขึ้น ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองและหูชั้นใน