ในประเทศไทยพบอุบัติการณ์การเกิดโรค มะเร็งในเด็ก ประมาณ 900 คนต่อปี (คิดเป็น 74.9 คนต่อประชากรเด็กล้านคนต่อปี) ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดคือ 1-4 ปี
โดยมะเร็งที่พบบ่อย 5 อันดับแรกในเด็กไทย คือ
เป็นโรคมะเร็งในเด็กที่พบบ่อยที่สุด ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งทั้งหมด แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ที่พบได้บ่อย
คือ มีไข้ มีอาการซีด และมีจุดเลือดออกตามตัว นอกจากนี้อาจพบว่ามีตับม้ามโต ปวดตามร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต ในเด็กชายอาจมีอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งโตหรือโตทั้งสองข้าง ร่วมกับตรวจเลือด (Complete Blood Count -CBC) พบเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อน เป็นต้น
การวินิจฉัย
วินิจฉัยโรค ALL และ AML ทำได้โดยเจาะตรวจไขกระดูกเพื่อดูความผิดปกติของชนิดเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน นอกจากนี้ยังมีการตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อหาการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อใช้ในการวางแผนการรักษาและการพยากรณ์โรค
การรักษา มะเร็งในเด็ก
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ปัจจุบันใช้การให้ยาเคมีบำ บัด ซึ่งจะให้เป็นชุด ๆ ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร ขึ้นกับชนิดโดยที่ชนิด ALL ใช้เวลารักษาประมาณ 2 ปีครึ่ง -3 ปี ส่วน AML ใช้วลาในการรักษาประมาณ 6 เดือน สำหรับผูป่วยที่ไม่สามารถทำ ให้โรคสงบได้หรือมีการกลับเป็นซ้ำ โดยปัจจุบันมีการรักษาแบบใหม่ ได้แก่
1. การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted therapy)
2. Chimeric antigen receptor (CAR) T-cell therapy (CAR T- cell)
3. Bone marrow transplantation การรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่ง ณ ปัจจุบันการปลูกถ่ายไขกระดูกไม่จำเป็นต้องรอเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดขาวที่ตรงกัน 100% อีกต่อไป โดยสามารถใช้ไขกระดูกจากพ่อแม่ได้ หรือที่เรียกว่า Haploidentical Hematopoietic Transplantation สามารถอ่านข้อมูลการรักษาใหม่ คลิกที่นี่
ส่วนการรักษาโรค AML มีโอกาสหายขาดประมาณ 55-70% และมีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 50% จากการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด แต่ถ้าได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 80% เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันการรักษาโรค ALL มีผลการรักษาที่ดี โอกาสหายขาด 80-85%
ส่วนการรักษาโรค AML มีโอกาสหายขาดประมาณ 55%
ส่วน AML มีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 50% จากการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด แต่ถ้าได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 80% เช่นเดียวกัน
พบมะเร็งชนิดนี้รองลงมาจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหงื่อออกมากเวลากลางคืน ต่อมน้ำเหลืองโตตามร่างกาย อาจพบก้อนที่ช่องทรวงอก ก้อนในช่องท้อง ตับและม้ามโต
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็ก
โรคนี้จำเป็นต้องนำชิ้นเนื้อจากก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองมาตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียดทางพยาธิวิทยา รวมถึงต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อดูการกระจายของตัวโรค เช่น การตรวจทางรังสีวินิจฉัย (CT scan, Gallium scan/PET scan และ Bone scan) และเจาะตรวจไขกระดูก
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็ก
การรักษาหลักๆ ประกอบไปด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด และการฉายรังสี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ปัจจุบันการรักษาค่อนข้างดี มีอัตราการรอดชีวิต 70-95%ซึ่งขึ้นกับชนิดของโรคและระยะของโรค
ปัจจุบันมีการใช้ยาในกลุ่มยามุ่งเป้า (Targeted therapy)
และ Chimeric antigen receptor (CAR) T-cell therapy (CAR T- cell)
ในกลุ่มคนไข้ที่ตอบสนองไม่ดีหรือกลับเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยมาด้วยอาการเดินเซ อาเจียนรุนแรง การมองเห็นผิดปกติ ชัก ปวดศีรษะ ศีรษะโตมากกว่าปกติ ซึ่งอาการดังกล่าวขึ้นอยู่กับตำแหน่งของตัวโรค หรือชนิดของเซลล์มะเร็ง ว่ามีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วหรือไม่
การวินิจฉัยมะเร็งระบบประสาทส่วนกลาง
จำเป็นต้องได้รับการตรวจทางรังสี CT scan หรือ MRI เพื่อดูตำแหน่งและขนาดของก้อนมะเร็ง และอาจต้องมีการผ่าตัดเพื่อให้ได้ชิ้นเนื้อจากก้อนเพื่อส่งตรวจเพิ่มเติมทางพยาธิวิทยา
การรักษา มะเร็งในเด็ก
การรักษาหลักสำหรับโรคนี้ คือ การผ่าตัด ให้ยาเคมีบำบัด และการฉายรังสี ซึ่งขึ้นกับชนิดและตำแหน่งของเซลล์มะเร็ง
พบมะเร็งในเด็กชนิดนี้ได้ตั้งแต่ ในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี
ลักษณะอาการของมะเร็งชนิดนี้จะแสดงเป็นก้อน และตำแหน่งของก้อน โดยอาการที่พบบ่อย คือ มีก้อนในช่องท้อง ร่วมกับมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ทีเกิดจากการแพร่กระจายของตัวโรค เช่น มีไข้ ซีด อ่อนแรง ปวดตามร่างกายหรือกระดูก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรงจากการที่ก้อนมะเร็งกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง
การวินิจฉัย มะเร็งต่อมหมวกไตและปมประสาทซิมพาเทติก
การวินิจฉัยและจำแนกระยะของโรค อาศัยการตรวจเลือด ตรวจไขกระดูก ตรวจระดับของสารที่สร้างจากเนื้องอกในเลือดหรือปัสสาวะ การตรวจทางรังสีวินิจฉัย เช่น CT scan, bone scan, MIBG scan และการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษา
ประกอบไปด้วยการให้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก การฉายรังสีรักษาในบางกรณี
ประสิทธิภาพในการรักษา
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย ระยะเวลาของโรคที่พบ ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะต้นจะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคไปอวัยวะอื่นแล้ว
ช่วงอายุของเด็กที่สามารถพบมะเร็งชนิดนี้ได้บ่อยคือช่วงอายุ 1 – 4 ปี และ 15 -19 ปี
อาการมะเร็งที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์
มะเร็งชนิดนี้ ในเด็กเล็กมักมาด้วยอาการลักษณะมีก้อนที่บริเวณช่องท้องและก้นกบ ส่วนวัยรุ่นมาด้วยอาการมีก้อนที่ต่อมเพศ เช่น อัณฑะ รังไข่ นอกจากนี้ยังอาจมาด้วยอาการที่เรียกว่าเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย เมื่อโรคเกิดที่ต่อมไพเนียลในสมองที่เป็นต่อมควบคุมภาวะความเป็นหนุ่มสาว หรืออาจมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก เมื่อโรคเกิดในช่องอก
การวินิจฉัยมะเร็งที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์
การวินิจฉัยและจำแนกระยะของโรค วินิจฉัยโดยวิธีการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมนที่ก้อนมีการหลั่งออกมา การตรวจทางรังสีวินิจฉัย เช่น CT scan, bone scan และการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
กรณีที่เป็นก้อนชนิดที่ไม่มีการหลั่งฮอร์โมน การรักษาประกอบไปด้วยการให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสีรักษา และการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่