เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ รังไข่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่วงก่อนไข่ตก จากการกระตุ้นของไฮโปทาลามัส และต่อมใต้สมอง ส่งผลให้ผู้หญิงมีความเป็นสาวมากขึ้น เริ่มมีประจำเดือน มีความสูงเพิ่มขึ้นเร็วในช่วง 1-2 ปีแรกของการมีประจำเดือน รวมถึงส่งผลกระตุ้นมดลูกให้ใหญ่ขึ้น เยื่อบุโพรงมดลูกหนา ปากมดลูกมีการสร้างมูก ท่อรังไข่มีการเคลื่อนที่มากขึ้น ทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อพร้อมรับการตั้งครรภ์ เนื่องจากผู้หญิงเป็นเพศที่มีอวัยวะภายในร่างกายที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์ เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยการสังเกตหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อย อย่างเช่นอาการปวดท้อง ซึ่งอาจเป็นอาการที่บ่งชี้ถึงโรคร้ายหรือโรคที่รุนแรงกว่าปกติได้
ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือมีประจำเดือนแล้ว กว่า 90% มักพบปัญหาปวดท้องช่วงมีประจำเดือน โดยจะมีระดับความปวดประจำเดือน (Pain Scale) ปกติอยู่ที่ 4/10 แต่หากผู้หญิงวัย 40-50 ปี มีอาการปวดประจำเดือนเป็นอย่างมากและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาไปเป็น 7/10 – 10/10 ก็ถือว่าอันตราย เนื่องจากอาจมีพยาธิสภาพของโรคให้เห็นเด่นชัด เช่น เนื้องอกที่อาจพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งได้ ดังนั้น หากมีอาการมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุเพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ เนื่องจากมดลูกซึ่งเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ตั้งอยู่บริเวณท้องส่วนล่าง เมื่อเกิดความผิดปกติบริเวณมดลูกจึงมักมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วอาการปวดอาจสัมพันธ์กับความผิดปกติที่มดลูกหรือไม่สัมพันธ์เลยก็ได้ เช่น การมีเนื้องอกกดทับกระเพาะปัสสาวะ หรือการขับถ่ายอุจจาระลำบากหรือปวดในช่วงมีประจำเดือน เป็นต้น โดยเฉพาะหากมีการพัฒนาความเจ็บปวดมากขึ้นก็ถือว่าเป็นอาการปวดท้องแบบผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุโดยเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ด้วยระบบสาธารณสุขที่เจริญก้าวหน้า อาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ การเข้าสู่วัยสาวของเด็กผู้หญิงจึงเกิดได้เร็วขึ้น โดยปกติแล้วเด็กผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุ 11-12 ปี ในผู้หญิงที่สุขภาพดีควรมีประจำเดือนสม่ำเสมอทุกๆ 21-35 วัน โดยระยะเวลาของการมีประจำเดือนแต่ละครั้งนาน 2-5 วัน มีการใช้ผ้าอนามัยปกติอยู่ที่ประมาณ 2-3 ชิ้นต่อวัน และมีระดับความปวดประจำเดือน อยู่ที่ 4/10 หรือต่ำกว่า
แต่ในกรณีที่พบอาการดังต่อไปนี้ถือว่าเป็นอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษา ตรวจประเมินร่างกายและรับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด ได้แก่ การรับประทานยาลดปวด ในกรณีที่มีอาการปวดประจำเดือนไม่มากนัก
2. การรักษาแบบผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาลดปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือผ่านการตรวจประเมินโดยแพทย์แล้ว ซึ่งแพทย์จะต้องทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจแบบอื่นๆ อย่างละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกให้การรักษาแบบใดที่ถูกต้องและเหมาะสมกับพยาธิสภาพของโรคมากที่สุด โดยปกติแล้วจะทำการผ่าตัดเมื่อพบว่ามดลูกมีขนาดใหญ่มาก หรือมีเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกที่มีขนาดใหญ่กว่า 4-5 เซนติเมตร มีภาวะตกเลือดในช่องท้องหรือบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก มีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก มีอาการปวดท้องร่วมกับมีภาวะประจำเดือนผิดปกติ มีพังผืดในช่องท้องมาก หรือมีช็อกโกแลตซีสต์ เป็นต้น
การรักษาโดยการผ่าตัดแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1 การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เป็นการกรีดเปิดแผลบริเวณหน้าท้องเข้าไปภายในช่องท้องหรือมดลูก แผลผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ และต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน รวมถึงเสี่ยงต่อผลกระทบข้างเคียง
2.2 การผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นการส่องกล้องเข้าไปภายในช่องท้อง หรือโพรงมดลูก ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
นอกจากนั้นแล้ว ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนค้นพบนวัตกรรมที่เรียกว่า NOTES (Natural Orifice Transluminal Endoscopic Surgery) หรือ การผ่าตัดผ่านกล้องแบบไร้แผลบนหน้าท้อง
เป็นการผ่าตัดโดยใช้กล้องและเครื่องมือผ่าตัดสอดเข้าไปตามช่องรูเปิดตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น ช่องคลอด และรูทวารหนัก ผ่านไปยังช่องท้อง ทำให้ไม่มีรอยแผลบริเวณผิวหนังภายนอก อย่างไรก็ตาม NOTES ยังคงมีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่ มีการอักเสบเรื้อรังภายในมดลูก หรือมีพังผืดรัดในช่องท้องจำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากการผ่าตัดทางหน้าท้องมาก่อน หรือจากการมีก้อนมะเร็งจำนวนมากซึ่งก่อให้เกิดพังผืดมาก เป็นต้น
การรักษาผ่านการผ่าตัดแบบ NOTES สามารถรักษาโรคหรืออาการผิดปกติ ดังต่อไปนี้ เช่น
แม้เป็นเรื่องปกติที่อาการปวดท้องน้อยมักมาพร้อมกับการมีประจำเดือน แต่หากพบภาวะปวดท้องเรื้อรัง มีอาการปวดเพิ่มขึ้น หรือประจำเดือนมามากขึ้นผิดปกติ การพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุ รวมถึงเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาเป็นอย่างมาก นวัตกรรมการผ่าตัดด้วยเทคนิค NOTES ก็เป็นอีกนวัตกรรมทางเลือกหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ผู้ป่วยหลายกลุ่ม เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง อัตราการเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่ต้องลางานหลายวัน และที่สำคัญ ไม่ทิ้งรอยแผลไว้บนหน้าท้องให้รำคาญใจ
นายแพทย์มฆวัน ธนะนันท์กูล : ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การรักษา
ประสบการณ์การเป็นสูตินรีแพทย์ยาวนานกว่า 37 ปี ทำการผ่าตัดมดลูกผ่านกล้องมามากกว่า 3,000 เคสในระยะเวลา 30 กว่าปี มีความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทุกรูปแบบ รวมถึงการผ่าตัดด้วยนวัตกรรม NOTES ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแพทย์ ที่มากกว่าการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopy/Hysteroscopy) ทั่ว ๆ ไป
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่