ภาวะขาดวิตามินดี (Vitamin D deficiency) พบสูงขึ้นในทุกเพศ ทุกวัย และทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกบางร่วมด้วย ภาวะขาดวิตามินดีจะมีผลกระทบโดยตรงกับความแข็งแรงของกระดูก ถ้าขาดอย่างรุนแรงในทารกจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อนชนิด Ricket สำหรับในผู้ใหญ่ถ้าขาดรุนแรงจะก่อโรคกระดูก Osteomalacia อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ขาดวิตามินดีมักจะขาดไม่รุนแรง แต่ก็ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ได้มีคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะขาดวิตามินดีไว้ว่า ภาวะขาดวิตามินดี คือผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 20 ng/ml และในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ควรมีระดับวิตามินดีอย่างน้อย 30 ng/ml ขึ้นไป
ปัจจุบันเราสามารถตรวจวัดระดับวิตามินดีได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาระดับของวิตามินดี (25(OH) vitamin D) โดยมักจะแนะนำให้ตรวจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีปัญหากระดูกพรุน กระดูกบางหรือมีกระดูกหัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับหรือไตที่ทำให้กระบวนการสร้างวิตามินดีลดลง ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30 (BMI > 30) ผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด เช่น ผู้ที่ใช้เวลาทำงานในตึกเป็นส่วนใหญ่ การทาครีมกันแดดเป็นประจำ เป็นต้น
แหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติที่สำคัญคือการที่ผิวหนังได้รับแสงแดด ซึ่งจะมีรังสี Ultraviolet B (UVB) ทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ตั้งแต่ 08.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่แรงและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกินไป ใช้เวลา15 – 30 นาที ร่างกายก็สามารถผลิตวิตามินดีมาใช้ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถเพิ่มระดับวิตามินดีได้โดยการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น เห็ดที่ได้รับแสงแดด และอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน หรือการรับประทานไข่หรือนมที่มีการเติมวิตามินดี
วิตามินดีที่ได้จากอาหารในแต่ละวันอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากอาหารที่มีวิตามินดีสูงมีจำกัด จึงควรรับวิตามินดีจากแสงแดดอย่างเหมาะสม ผู้ที่อายุน้อยกว่า 70 ปี ควรได้รับวิตามินดี วันละ 600 IU และผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรรับวิตามินดีวันละ 800 IU * เนื่องจากร่างกายมีการสร้างกระดูกน้อยลง
ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำมาก หรือไม่สามารถปรับพฤติกรรมให้ได้รับวิตามินดีดังกล่าวข้างต้น แพทย์สามารถให้รับประทานวิตามินดีเสริมได้ (Vitamin D supplementation) ตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
มีการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้การทรงตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว และยังสามารถลดอุบัติการณ์การหกล้มในผู้สูงอายุได้ ที่สำคัญการได้รับวิตามินดีเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก ซึ่งสำคัญมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อเกิดกระดูกหักแล้วจะมีผลกระทบตามมามากมาย เช่น อาการเจ็บปวดบริเวณตำแหน่งกระดูกหัก ทำให้การเคลื่อนไหวหรือการทำงานลดลง บางรายต้องนอนติดเตียงโดยเฉพาะผู้ที่มีกระดูกสะโพกหักซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดการติดเชื้อระบบต่าง ๆได้ง่าย และอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิต
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่