ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องในเด็ก (Lactose intolerance)

ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องในเด็ก (Lactose intolerance)

Highlights:

  • ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance) ไม่เหมือนแพ้นมวัว แต่เกิดจากความผิดปกติของลำไส้เล็กที่ไม่สามารถผลิตเอนไซม์แล็กเทสที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้เพียงพอ พบในคนเอเชีย แอฟริกา มากกว่าคนสแกนดิเนเวีย หรือยุโรป
  • Lactose intolerance เป็นสาเหตุให้เด็กมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ลมในท้องเยอะ ผายลมบ่อย ส่วนใหญ่มีอาการใน 2-3 ชั่วโมงหลังดื่มนมผิวหนังอักเสบ ปากบวม ตาบวม น้ำมูกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก เสมหะเยอะ หอบหืด นอนกรน
  • เด็กเล็กที่เป็นภาวะนี้ ไม่แนะนำให้หยุดนมแม่ เพราะนมแม่มีประโยชน์ แต่ให้เด็กกินนมส่วนหลังมากกว่านมส่วนหน้า เพราะน้ำนมส่วนหน้ามีน้ำตาลแล็กโทสมาก แนะนำให้ดูดสลับ ส่วนเด็กโตที่กินอาหารได้หลากหลายกว่า ให้ดื่มนมหรืออาหารที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส หรือนมที่ทำจากพืช แต่ต้องเสริมแคลเซียม

ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance) คืออะไร

ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องไม่ได้เกิดจากการแพ้เหมือนแพ้นมวัว เพราะการแพ้นมวัว คือ การแพ้โปรตีนในน้ำนมวัว แต่ที่เราเรียกว่าแพ้แล็กโทส สาเหตุจริงๆ เกิดจากความผิดปกติของลำไส้เล็กที่ไม่สามารถผลิตเอนไซม์แล็กเทสที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโทสโดยเฉพาะได้เพียงพอ ไม่ได้เกิดจากการแพ้  ซึ่งน้ำตาลแล็กโทสเป็นน้ำตาลที่พบในนมวัวรวมถึงนมแม่ ทางการแพทย์จึงเรียกว่า ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance)

อาการภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องในเด็ก ต่างจากอาการแพ้โปรตีนนมวัวอย่างไร

ทั้ง 2 อย่างเป็นโรคทางระบบทางเดินอาหาร ที่อาการใกล้เคียงกันมาก จะมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง ได้เหมือนกันทั้งสองภาวะ แต่ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องจะมีอาการท้องอืดและแก๊สที่มากกว่า  
ความแตกต่างอีกจุดหนึ่งคือ ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance) จะมีเฉพาะอาการทางระบบทางเดินอาหาร แต่อาการแพ้นมวัวจะสามารถเกิดได้หลายระบบ เช่น 

  • ถ่ายเหลว 
  • ถ่ายมีมูกเลือด 
  • อาเจียน 
  • การดูดซึมอาหารไม่ดี 
  • มีปัญหาท้องผูกเนื่องจากถ้าเกิดการอักเสบนานๆ จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ การเจริญเติบโต 
  • อาการทางผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ ปากบวม ตาบวม  

หรืออาการทางระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก มีเสมหะ หอบหืด นอนกรน อาจแพ้แบบรุนแรงเฉียบพลันได้

สาเหตุการเกิดภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance)

เมื่อย่อยน้ำตาลแล็กโทสไม่ได้ ร่ายกายก็จะไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย  เมื่อน้ำตาลไม่ถูกดูดซึมจะค่อยๆ ไหลตามทางเดินอาหาร และจะดูดน้ำเข้ามาในโพรงลำไส้กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว ถ่ายออกมาเป็นน้ำ และเมื่อมีน้ำตาลผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยและหมักน้ำตาล ทำให้เกิดกรดแลกติกขึ้น เวลาถ่ายอุจจาระก็จะมีกรดแลกติกปริมาณมาก ทำให้ผิวหนังโดยรอบเวลาที่เด็กถ่าย แดงและเจ็บได้ 
นอกจากนี้เมื่อแบคทีเรียย่อยน้ำตาลในลำไส้ใหญ่ก็จะสร้างแก๊สเพิ่มขึ้น ทำให้มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด มีลมเยอะ ผายลมบ่อย ถ่ายอุจจาระมีฟอง และเมื่อเด็กแน่นท้อง ปวดท้อง  อาจทำให้เด็กรับประทานอาหารได้น้อยลง 

  • ปัจจัยด้านอายุ เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด ก่อนอายุครรภ์ ครบ 34 สัปดาห์ เมื่ออายุมากขึ้น ร่ายกายก็จะสร้างน้ำย่อยแล็กโทสน้อยลง จึงพบว่าตอนเด็กๆ ดื่มนมได้ แต่เมื่อโตขึ้นกลับมีอาการเมื่อดื่มนมวัว
  • ปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ เพราะจากการศึกษามักพบภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องในคนเอเชีย แอฟริกา มากกว่าคนสแกนดิเนเวีย หรือยุโรป 
  • ปัจจัยจากโรคที่ทำลายเยื่อบุผนังสำไส้เล็ก เช่น การติดเชื้อ หรืออักเสบ ภาวะขาดสารอาหาร ผลจากยาฆ่าเชื้อบางชนิด หรือจากยารักษาโรคมะเร็ง

สัญญาณเตือนว่าเด็กมีภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

สังเกตได้จาก เด็กจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด จากการที่มีลมในท้องมากและจะผายลมบ่อย ส่วนใหญ่มักมีอาการภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังดื่มนม ถ้าเป็นมากอาจมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ มีฟองจากลม  มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวอันเกิดจากกรดแลกติกซึ่งรอบๆ บริเวณที่ถ่ายจะแดงถ้าถ่ายเหลวมาก

การดูเบื้องต้นว่ามีภาวะนี้หรือไม่คือ ลองให้เด็กงดนมที่มีแล็กโทส ถ้าใช่อาการทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งจุดนี้อาจใช้แยกกับภาวะแพ้นมวัวได้ เพราะแพ้นมวัวก็อาจมาด้วยอาการเหมือนกัน คือ ปวดท้อง ท้องเสีย แต่เด็กที่แพ้นมวัว ถ้าให้กินนมวัวที่ไม่มีแล็กโทส อาการจะไม่หาย เพราะเด็กยังแพ้โปรตีนในนมวัว 

ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและพฤติกรรมเด็กอย่างไร

จริงๆ อาการที่กล่าวมาอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการโดยตรง แต่อาจจะส่งผลทางอ้อม กล่าวคือ เมื่อเด็กท้องเสีย ดูดซึมอาหารไม่ดี ก็จะทำให้การเจริญเติบโตไม่ดี อาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จะทำให้เด็กรับประทานอาหารได้น้อย ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางอ้อมได้เช่นกัน บางครั้งท้องอืดมาก เรอบ่อย ผายลมบ่อย เด็กก็จะเสียความมั่นใจได้

ประเภทของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance)

  • ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องชนิดถาวร (congenital lactase deficiency) มักพบอาการตั้งแต่แรกเกิด แต่พบไม่มาก โดยสังเกตได้ว่าเด็กจะมีปัญหานี้ตั้งแต่กินนมมื้อแรกๆ และสังเกตจากอาการจะท้องเสีย อาเจียน เมื่อเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้น เพียงแต่มีข้อเสียคือเด็กกลุ่มนี้จะขาดเอนไซม์แล็กเทสไปตลอดชีวิต ซึ่งทำให้อาจต้องกินเอนไซม์แล็กเทสหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลแล็กโทส
  • ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องชั่วคราว (neonatal lactase deficiency) มักเกิดในทารกที่คลอดก่อนกำหนด ก่อนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยจะสามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้เพียง 1 ใน 3 ของทารกที่เกิดครบกำหนด การย่อยน้ำตาลแล็กโทสในเด็กกลุ่มนี้จะค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นจนปกติเมื่ออายุครรภ์ครบ 36 สัปดาห์

เด็กทารกบางคนอาจมีภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (primary lactase deficiency, adult type hypolactasia ) เนื่องจากเอนไซม์แล็กเทสจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 2 ปี และลดมากเมื่อโตขึ้น เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด  โดยอุบัติการณ์แตกต่างกันตามเชื้อชาติ ซึ่งพบได้มากในคนเอเชีย และการที่เด็กถ่ายเหลวรุนแรง ติดเชื้อ ขาดสารอาหาร หรือมีโรคที่ทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก เมื่อลำไส้เล็กถูกทำลายส่วนยอดของเยื่อบุผิวลำไส้ซึ่งเป็นบริเวณ ที่มีเอนไซม์แล็กเทสอยู่มาก ก็ทำให้ปริมาณเอนไซม์แล็กเทสลดลง  ทำให้เกิดภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องชั่วคราวได้ (Secondary lactose deficiency) 

การตรวจภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง (Lactose intolerance)

  • ตรวจภาวะเป็นกรดของอุจจาระ ตรวจหาน้ำตาลในอุจจาระ เรียกว่าการตรวจด้วยวิธี reducing substance เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • ตรวจด้วยการเก็บวัดลมหายใจหรือเรียกว่า Hydrogen breath test  โดยให้กินน้ำตาลแล็กโทส และวัดแก๊สไฮโดรเจน ก่อนและหลังกินน้ำตาล  เนื่องจากถ้าไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้  น้ำตาลจะผ่านมาที่ลำไส้ใหญ่ และแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยน้ำตาล หมัก และทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนที่สูงขึ้น (การตรวจนี้ต้องงดน้ำ งดอาหาร ก่อนการตรวจ)      

การตรวจวิธีอื่นๆ ที่ไม่นิยมทำ อาทิ เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลกลูโคสก่อนและหลังรับประทานน้ำตาลแล็กโทส ตัดชิ้นเนื้อที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมาตรวจ ทดสอบระดับการทำงานของน้ำย่อยแล็กเทส ตรวจทางพันธุกรรมดูยีนที่ควบคุมการสร้างแล็กเทส
 

การรักษา ภาวะ Lactose intolerance ในเด็ก

การรักษาหลักคือ ให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลแล็กโทสในนม คือสามารถกินนมที่ไม่มีแล็กโทส ซึ่งเป็นข้อต่างกับเด็กที่แพ้นมวัว ที่จะให้เด็กกินนมวัวที่ไม่มีแล็กโทสไม่ได้ และควรงดอาหารที่มีนมที่มีน้ำตาลแล็กโทสเป็นส่วนประกอบด้วย เช่น ไอศกรีม โยเกิร์ต เค้ก ขนมปัง ที่จริงแล้ว ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องมีหลายระดับ บางคนขาดเอนไซม์แล็กเทสเพียงบางส่วน ก็สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสบางส่วนได้ หากรับประทานเพียงเล็กน้อยจะไม่เกิดอาการ 

ดังนั้นแนะนำให้สังเกตว่าเด็กรับประทานได้ปริมาณเท่าใดจึงจะเกิดอาการ โดยการที่รับประทานพร้อมมื้ออาหาร จะช่วยให้เอนไซม์แล็กเทสมีเวลาในการย่อยได้นานมากขึ้น หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารตอนท้องว่าง หรืออาจลองรับประทานครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ถ้าอาการไม่มาก บางครั้งอาจจะสามารถรับประทานนมเปรี้ยว โยเกิร์ตได้ เนื่องจากจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตจะช่วยย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้บางส่วน 
 

การดูแลภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องสำหรับทารก

การดูแลภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องสำหรับเด็กโต

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?