โรคอีสุกอีใสในเด็ก

โรคอีสุกอีใสในเด็ก

Highlights:

  • โรคอีสุกอีใสพบได้ทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก สามารถเป็นตลอดทั้งปี และระบาดมากในช่วงที่อากาศหนาว
  • โรคอีสุกอีใสจะมีอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย มีอาการคัน มีผื่นแดง และหลังจากนั้นผื่นแดงจะกลายเป็นตุ่มใสๆ เกิดขึ้นทั่วร่างกาย
  • การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันอีสุกอีใสได้นานถึง 20 ปี ป้องกันได้ 85% และป้องกันอาการรุนแรงได้มากกว่า 95%
     

รู้จักโรคอีสุกอีใส

อีสุกอีใส หรือ Chickenpox เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา  (Varicella virus) เป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายและเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคงูสวัด โดยติดต่อผ่านการสัมผัสตุ่มอีสุกอีใสโดยตรงและติดได้จากการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายที่ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย การใช้ของร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใส โดยโรคนี้มักพบบ่อยในเด็กและจะระบาดมากในช่วงอากาศหนาว โรคอีสุกอีใสยังสามารถพบได้ในผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทานต่ำ โดยอาการในผู้ใหญ่จะรุนแรงกว่าอาการในเด็ก แต่อย่างไรก็ตามโรคอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน

อาการของโรคอีสุกอีใส

หลังจากที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อาการจะแสดงออกภายใน 10 - 21 วัน โดยมีอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย มีอาการคัน มีผื่นแดง และหลังจากนั้นผื่นแดงจะกลายเป็นตุ่มใสๆ เกิดขึ้นทั่วร่างกาย หลังจากเป็นตุ่มจะมีอาการคัน จากตุ่มใสๆ จะกลายเป็นตุ่มน้ำ และหลังจากนั้นจะตกสะเก็ด และค่อยๆ หลุดไปเอง

อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นอีสุกอีใส

โดยปกติแล้วโรคอีสุกอีใสจะหายโดยไม่มีแผลเป็น แต่ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจะทำให้ผื่นกลายเป็นหนองและมีแผลเกิดขึ้น ภายหลังจากการติดเชื้ออีสุกอีใสจะมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้

สาเหตุของการเป็นโรคอีสุกอีใสในเด็ก

การเป็นโรคอีสุกอีใสเกิดจากการที่เด็กเข้าใกล้หรือสัมผัสผู้ป่วย และการที่เด็กอยู่ในสถานที่ที่แออัด ทำให้ติดโรคนี้ได้

การวินิจฉัยโรคอีสุกอีใส

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกาย และอาจพิจารณาตรวจเลือดหาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใส หากอาการแสดงไม่ชัดเจน

การรักษาโรคอีสุกอีใส

  • ควรพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • อาบน้ำเพื่อให้ร่างกายสะอาด
  • ตัดเล็บให้สั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกาและการแกะตุ่มอีสุกอีใส
  • การใช้ยา เช่น คาลาไมน์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน
  • รักษาความสะอาดสิ่งของรอบตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella Vaccine/Chickenpox Vaccine)

จากการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นพบว่าการฉีดวัคซีนสามารถป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ 70 – 85% เป็นระยะเวลานานถึง 20 ปี และการป้องกันโรคอีสุกอีใสแบบที่มีอาการรุนแรงได้มากกว่าร้อยละ 95

ในประเทศไทยมีทั้งวัคซีนเดี่ยว (Varicella Zoster Virus: VZV) เป็นวัคซีนที่ป้องกันเฉพาะโรคอีสุกอีใส และวัคซีนรวม (Mumps Measles Rubella Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคหัด โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน และโรคอีสุกอีใสไว้ในเข็มเดียวกัน

ใครที่ควรได้รับวัคซีนอีสุกอีใส

  • เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีด 2 เข็ม
    โดยเริ่มเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป
    (ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน) 
  • ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคหรือเด็กที่อายุไม่เกิน 12 ปี 
    (ฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีกใส 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน) 
  • เด็กที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป 
    (ฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีกใส 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน)
  • ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใส

เตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

  • ผู้ที่มีประวัติการเป็นอีสุกอีใส ภูมิคุ้มกันบกพร่อง วัณโรค มะเร็ง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดวัคซีน
  • ถ้ามีไข้หรือป่วยฉับพลันให้เลื่อนการนัดรับวัคซีนไปก่อน หลังจากหายป่วย 7 วัน จึงมารับวัคซีน

หมายเหตุ

  • วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสสามารถฉีดได้ทุกช่วงของปีและสามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้
  • รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนทุกครั้ง

ผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

  • ผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการถ่ายเลือด
     

ข้อดีของการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

  • การฉีดวัคซีนอีสุกอีใสช่วยลดโอกาสการติดเชื้อวาริเซลลา
  • การฉีดวัคซีนอีสุกอีใสช่วยลดโอกาสการติดเชื้องูสวัด

หลังฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

  • นั่งพักสังเกตอาการประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันการเป็นลม
  • หากรู้สึกเวียนศีรษะ รีบแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • ถ้ามีอาการปวด บวมบริเวณที่ฉีด ให้ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อบรรเทาอาการปวดบวม 
  • หลังฉีดวัคซีนอาจจะมีผื่นขึ้นคล้ายๆ อีสุกอีใส รอบๆ บริเวณที่ฉีดได้ และจะหายไปเอง
     

ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

ผลข้างเคียงทั่วไป 

  • จะมีไข้ต่ำ 
  • มีอาการปวดแขน 
  • บวม หรือ เกิดรอยช้ำบริวณที่ฉีด 
  • มีผื่นขึ้นเล็กน้อย

ผลข้างเคียงแบบรุนแรง 

  • เกิดอาการแพ้รุนแรง 
  • มีผื่นขึ้นทั้งตัว 
  • เลือดออกง่าย
  • เกิดอาการชัก 
  • ตาแข็ง
  • สมองอักเสบ
    สำหรับคนที่มีอาการแพ้รุนแรงหรืออาการอื่นๆ ที่ไม่ได้รายงานข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ในทันทีเมื่อพบอาการ

โรคอีสุกอีใส สามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ หากมีการไปสัมผัสกับคนที่เป็นโรคอีสุกอีใส แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย ถ้าติดเชื้อซ้ำอาการและความรุนแรงจะน้อยกว่าครั้งแรก  เช่น จะไม่มีไข้ มีผื่นขึ้นไม่มาก รวมถึงคนที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส แต่ได้รับการฉีดวัคซีนก็สามารถเป็นอีสุกอีใสได้ แต่อาการก็จะไม่รุนแรงมากเช่นกัน

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?