พบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในประเทศไทย จะมีอาการแพ้ไรฝุ่นมากเป็นอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 70-80 โดยโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยก็คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พบได้ร้อยละ 23-30 โดยผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น น้ำมูกใส จาม คันจมูก คัดจมูก บางรายอาจมีอาการทางตา เช่น คันตา ตาแดง รอบตามีสีคล้ำ หรืออาจมีอาการหูอื้อ ปวดบริเวณดั้งจมูกและใบหน้า และ พบโรคหืดจากภูมิแพ้ร้อยละ 10-15 ซึ่งจะมีอาการ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี้ด ไอเรื้อรังโดยเฉพาะในเวลากลางคืน เวลาเป็นหวัดจะไอนานกว่าปกติ
โดยปกติไรฝุ่นที่พบตามบ้านร้อยละ 80 มีสองสายพันธุ์คือ Dermatophagoides pteronyssinus และ Dermatophagoides farina มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องมองผ่านกล้องที่มีกำลังขยายถึง 25 เท่า ในการทดลองเลี้ยงไรฝุ่นพบว่าเจริญเติบโตได้ดีในสถานที่ ที่มีอุณหภูมิ 45 เซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 75 และพบว่าในสิ่งแวดล้อมดังกล่าวทำให้เชื้อราที่เจริญบนซากผิวหนังของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง หลุดลอกออกมา เป็นอาหารของไรฝุ่น ยิ่งมีอาหารปริมาณมากยิ่งทำให้ ไรฝุ่นจึงเจริญเติบโตดีตามไปด้วย
โดยส่วนที่ก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นจะเป็นทั้งส่วนลำตัวและอุจจาระของไรฝุ่น บริเวณของบ้านที่พบไรฝุ่นปริมาณมากมักจะเป็น ที่นอน หมอน โซฟา พรม, ตู้เสื้อผ้า รวมทถึงทุกที่ที่มีฝุ่นปกคลุมอยู่
ปัจจุบันแนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้และโรคหืด ระบุว่า การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ โดยเฉพาะไรฝุ่นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอาจไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าที่ควรและอาจต้องใช้หลากหลายวิธีร่วมกัน ทั้งการออกกำลังกาย การใช้ยาไม่ว่าจะเป็นยาพ่นจมูก หรือปาก หรือการฉีดวัคซีนป้องกันภูมิแพ้ นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาอาการแพ้ไรฝุ่น เช่น
การรักษาการแพ้ไรฝุ่นด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัดสามารถลดอาการแพ้และยาที่ใช้ควบคุมโรค ป้องกันการพัฒนาจากโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบไปเป็นโรคหืดได้ ปัจจุบันมีรูปยารูปแบบใหม่ เป็นชนิดอมใต้ลิ้น สามารถใช้ได้ง่าย สะดวก ราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับยารักษาภูมิแพ้อื่น ๆ และปลอดภัยยิ่งขึ้นกว่าวิธีดั้งเดิมที่ใช้การฉีดใต้ผิวหนัง
วิธีการคือ อมยาไว้ใต้ลิ้นเพียงวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 ปี ใช้เวลาอมไม่ถึง 10 วินาทียาก็ละลายหมด และหลังจากอมให้งดกลืนน้ำลาย 1 นาที และรออีก 5 นาทีสามารถดื่มน้ำและทานอาหารได้ตามปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ทดสอบแล้วว่าแพ้ไรฝุ่นด้วยวิธีการสะกิดผิวหนังหรือวิธีการตรวจจากเลือด การให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดรักษาไรฝุ่น ชนิดอมใต้ลิ้นทุกวันเพื่อเป็นการปรับธรรมชาติของโรคให้มีการแพ้ต่อไรฝุ่นน้อยลง สามารถลดอาการทางจมูก ลดการใช้ยาพ่นจมูก ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และลดอาการทางตาได้อีกด้วยเมื่อใช้ติดต่อกันเกิน 14 สัปดาห์เป็นต้นไป นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคหืดยังสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหอบกำเริบในระดับความรุนแรงปานกลางได้ในระหว่างที่ลดการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นเข้าปาก
ข้อห้ามในการใช้ยาชนิดอมใต้ลิ้น
หากมีภาวะต่อไปนี้ควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
อาการที่ต้องหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่