ปาร์ตี้อย่างไรไม่ให้ตับพัง

ปาร์ตี้อย่างไรไม่ให้ตับพัง

HIGHLIGHTS:

  • คลื่นไส้อาเจียนนานหลายวัน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ปัสสาวะและอุจจาระเปลี่ยนสี ตัวเหลือง ตาเหลือง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับพัง
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานปาร์ตี้ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเพื่อไม่ทำร้ายตับ ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว
  • ปัจจุบัน มีการตรวจวินิจฉัยภาวะไขมันสะสมในตับด้วยเครื่อง Fibroscan เพื่อดูทั้งภาวะพังผืดในเนื้อตับและปริมาณไขมันสะสมในตับได้โดยการตรวจเพียงครั้งเดียว โดยไม่ต้องเจาะเนื้อตับและมีความแม่นยำสูง

ปาร์ตี้อย่างไรไม่ให้ตับพัง

ทุกๆ ปลายปี คงหลีกเลี่ยงงานปาร์ตี้สนุกๆ กันไม่ได้ หากเป็นคนรักสุขภาพแต่ก็รักเทศกาลงานรื่นเริงไม่แพ้กัน มาดูกันว่าเราจะสามารถปาร์ตี้อย่างไรไม่ให้ตับพัง

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปปาร์ตี้

สิ่งแรกที่มาคู่กับงานปาร์ตี้ก็คือ การดื่ม เครื่องดื่มหลากหลาย ทั้งหวาน ขม มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ หากดื่มมากๆ ขณะท้องว่างจะส่งผลให้มีการดูดซึมอย่างรวดเร็ว เกิดอาการเมาก่อนปาร์ตี้เริ่ม หรืออาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ กระทั่งเมาค้างจนถึงเช้าก็เป็นได้

ดังนั้นอย่าลืมหาอาหารเล็กๆน้อยๆ รองท้องก่อนไปงานปาร์ตี้เสมอ ทั้งนี้ยังช่วยไม่ให้รับประทานอาหารในงานมากจนเกินไปได้อีกด้วย เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่มักมีไขมันสูง มีเกลือและน้ำตาลปรุงรสในปริมาณมาก

ท่ามกลางความสนุกสนาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารแบบไหน

แน่นอนว่า แอลกอฮอลล์จะช่วยเพิ่มความสนุก การจิบเครื่องดื่มทีละน้อย และดื่มไม่เกิน 2 แก้ว จะยังคงทั้งสนุกและไม่ทำร้ายตับเริ่มต้นอาหารด้วยสลัดผัก เลือกน้ำสลัดไม่เป็นครีมข้น ท็อปด้วยไข่ต้ม หรือไก่ย่าง จะช่วยรองท้องได้ดี อีกทั้งเนื้อไก่ยังช่วยเพิ่มกรดอะมิโนให้กับตับ ซึ่งจะช่วยย่อยและนำแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ผักสลัดช่วยเพิ่มวิตามินและเกลือแร่ได้ดี
จานหลักก็ไม่ควรเน้นอาหารที่มีแป้งมาก หรือของทอด ยิ่งโรยเกลือด้วย ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงอาจเลือกเป็นถั่วอบชนิดต่างๆ ที่มีโปรตีน และไฟเบอร์

อย่างไรก็ตามพึงบอกตัวเองว่าอย่ารับประทานอาหารมากจนเกินไป เพราะการรับประทานอาหารครั้งมากๆ นั้นทำให้ตับทำงานหนัก อีกทั้งไขมันในปริมาณมากจะแปรสภาพเป็นไตรกลีเซอไรด์ ส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งตับ

สัญญาณเตือนเมื่อตับพัง

  • คลื่นไส้อาเจียน อาการคลื่นไส้อาเจียนในเช้าหลังงานปาร์ตี้อาจดูเป็นเรื่องปกติ แต่หากอาการยังเป็นอยู่หลายวัน อาจต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัย
  • อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่สดใส รวมถึงเบื่ออาหาร และน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจเนื่องมาจากตับที่ทำงานหนักจนเหนื่อยล้า อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ตับไม่สามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก เกิดปัญหาการย่อยอาหาร เนื่องจากตับมีความสำคัญต่อกระบวนการย่อย หากตับถูกทำลายก็จะส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ดังกล่าว
  • ปัสสาวะและอุจจาระเปลี่ยนสี การเปลี่ยนแปลงของสีปัสสาวะและอุจจาระอาจบ่งบอกถึงอาการตับพัง เนื่องจากตับไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไป โดยเฉพาะบิลิรูบิน (Bilirubin) สารสีเหลืองออกน้ำตาล ที่เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด ซึ่งปกติตับจะเป็นตัวกำจัดออกจากร่างกายทางน้ำดีและทางปัสสาวะ ซึ่งหากตับไม่สามารถขับออกได้ จึงปะปนออกมากับปัสสาวะและอุจจาระ
  • ดีซ่าน เนื่องจากระดับบิลิรูบินในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง

การตรวจภาวะไขมันสะสมในตับ ด้วยเครื่อง Fibroscan

ภาวะไขมันพอกตับ คือการที่ร่างกายสะสมไขมันไว้ภายในเซลล์ตับ ซึ่งอาจเป็นเพียงการสะสมของไขมันเท่านั้น หรืออาจมีการอักเสบของตับร่วมด้วย

ปัจจุบัน มีการตรวจวินิจฉัยภาวะไขมันสะสมในตับด้วยเครื่อง Fibroscan with CAP (Controlled Attenuation Parameter) เพื่อดูทั้งภาวะพังผืดในเนื้อตับและปริมาณไขมันสะสมในตับได้โดยการตรวจเพียงครั้งเดียว ซึ่งใช้เวลาในการตรวจไม่นาน โดยไม่ต้องเจาะเนื้อตับและมีความแม่นยำสูง

รวมถึงยังสามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ( Fatty liver) โดยประเมินและแสดงปริมาณไขมันสะสมในตับ ซึ่งผู้ป่วยต้องงดน้ำหรืออาหาร 2 ชั่วโมง ก่อนการตรวจ  เพื่อการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังการตรวจ

การทำงานของเครื่อง Fibroscan

  • เครื่อง Fibroscan ทำงานโดยการปล่อยคลื่นเสียงเข้าไปในเนื้อตับ และใช้คลื่นอัลตราซาวน์เป็นตัวตรวจวัดความเร็วของคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับ ในการประเมินค่าความแข็งของเนื้อตับ ซึ่งถ้าคลื่นเสียงสะท้อนกลับเดินทางเร็ว ค่า kPa (kilopascal) ที่ได้ก็จะสูงตาม แสดงว่าตับเริ่มมีความแข็ง
  • การตรวจไขมันสะสมในตับ (CAP) วัดค่าความต้านทาน ด้วยการปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์เข้าไปในเนื้อตับ หากมีไขมันสะสมในตับปริมาณมาก ค่าแรงต้านทาน (dB/m -เดซิเบล/เมตร)ก็จะสูงตามไปด้วย

 

แม้เทคโนโลยี่ทางการแพทย์จะก้าวไกลเพียงใด แต่การป้องกันไม่ให้เกิดโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าปาร์ตี้ครั้งไหนๆ หากเตรียมความพร้อมและไม่ปล่อยให้สนุกจนเกินขอบเขต รักษาตับให้อยู่กับร่างกายของเราไปนานๆ น่าจะเป็นปาร์ตี้ที่สนุกสนานและปลอดภัยที่สุด

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?