กลิ่นลับๆ ที่มากับฝน

กลิ่นลับๆ ที่มากับฝน

HIGHLIGHTS:

  • สังคัง เกิดจากเชื้อรา ที่มาพร้อมความอับชื้น และทำให้เกิดกลิ่นได้  ถ้าเป็นซ้ำบ่อย ๆ ต้องรับประทานยา ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
  • กลิ่นจากช่องคลอดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้บ่อยที่สุด โดยจะมีอาการตกขาวมีกลิ่นคาว รู้สึกแสบร้อนขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์    หากกลิ่นทางช่องคลอดนั้นรุนแรงมากหรือมีอาการผิดปกติ เจ็บ ปวดแสบปวดร้อน หรือมีอาการคันควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษา
  • การขาดธาตุสังกะสี (Zinc) และภาวะความเครียด สามารถส่งผลให้มีการผลิตเหงื่อมากขึ้น และทำให้เกิดกลิ่นเท้าได้

เมื่อเข้าหน้าฝน ความชื้นในอากาศก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมักจะพาโรคต่างๆ มาตามฤดูกาล ทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้นบางโรคก็รุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ  และบางโรคก็ดูจะไม่รุนแรงมากนักแต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญ รวมถึงยังทำให้เสียบุคลิกภาพอีกด้วย เช่น โรคเชื้อรา หรือกลิ่นอับไม่พึงประสงค์จากอวัยวะต่างๆ ซึ่งโรคเหล่านี้มักมาพร้อมความอับชื้นของหน้าฝน ร่วมกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร การรักษาความสะอาดส่วนบุคคล การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา

สังคัง โรคหน้าฝนที่มาพร้อมกลิ่น

สังคัง (Tinea cruris) หรือการติดเชื้อรา มักพบที่ขาหนีบ  และอาจจะลามมาที่อวัยวะเพศ พบได้ในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก  พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า

สังคัง เกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Dermatophyte  ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นขุยแดงๆ  โรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก  จากการสัมผัส หรือการใช้สิ่งของ เช่น เสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว ร่วมกัน  พบได้ในกลุ่มคนที่มีเหงื่อมากๆ นักกีฬา น้ำหนักตัวเกิน เบาหวาน คนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี

อาการที่เด่นชัดคือ มีผื่นแดง  แสบและคันมาก  อาจมีตุ่มใสๆ  หรือเป็นผื่นแดงขอบนูนและมีขุยสีขาวๆ หรืออาจเป็นแผ่น พบตามขาหนีบ หัวเหน่า และรอยพับต่างๆ  ถ้าเกาจะยิ่งลุกลามจนเกิด แผลถลอก และทำให้แสบได้ ในรายที่เป็นมากผื่นอาจลุกลามไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศได้

การรักษาสังคัง ใช้ยาฆ่าเชื้อราโดยตรง  ถ้าเป็นซ้ำบ่อย ๆ ต้องรับประทานยา ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

การป้องกันสังคัง

  • ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแน่นเกินไป ใช้ผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี
  • หลังอาบน้ำ ควรเช็ดตัวให้แห้งเสมอ ไม่ให้อับชื้น
  • ถ้าสาเหตุของความอับชื้นมาจากความอ้วน ควรลดน้ำหนัก เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคซ้ำ

กลิ่นในจุดซ่อนเร้น กลิ่นลับที่ต้องระวัง

กลิ่นในจุดซ่อนเร้น   พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สาเหตุมาจากการดูแลความสะอาดไม่ดีพอ  ความอับชื้น   โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   หรือการติดเชื้อ  ส่วนใหญ่แล้วกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้น มักทำให้เกิดปัญหา และสร้างความกังวลในผู้หญิง จากการที่พบความผิดปกติของช่องคลอดร่วมด้วย

กลิ่นจากช่องคลอดเกิดจากอะไรได้บ้าง

1.การติดเชื้อ

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย พบได้บ่อยที่สุดคือ อาการตกขาวมีกลิ่นคาว  รู้สึกแสบร้อนขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
  • การติดเชื้อที่เกิดจากโปรโตซัว trichomoniasis ตกขาวจะมีกลิ่นคาว มีสีเหลืองหรือสีเขียว เป็นฟอง
  • การติดเชื้อรา ทำให้เกิดกลิ่นเหมือนยีสต์ ตกขาวสีขาว เป็นลิ่มๆ รวมทั้งมีอาการคัน  แสบในระหว่างการถ่ายปัสสาวะและการมีเพศสัมพันธ์  เกิดจากการที่เชื้อราซึ่งปกติจะมีอยู่ในช่องคลอด เจริญเติบโตผิดปกติ มักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

2.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

สารคัดหลั่งในช่องคลอดในระหว่างมีประจำเดือนและระหว่างการตกไข่ อาจก่อให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าในช่วงอื่น ๆ   อีกสาเหตุคือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลงทำให้เนื้อเยื่อช่องคลอดบางและช่องคลอดจะมีสภาวะเป็นกรดเล็กน้อย ผู้หญิงหลายคนที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนจะสังเกตว่าช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นและตกขาวเป็นน้ำ หากกลิ่นทำให้รู้สึกกังวลใจแพทย์อาจสั่งยาเอสโตรเจนเฉพาะที่ซึ่งจะช่วยกำจัดกลิ่นภายใน 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากครีมบำรุงช่องคลอดเอสโตรเจนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

3.เหงื่อ

ขาหนีบที่มีเหงื่อออกจะมีกลิ่นเหม็น  เนื่องมาจากต่อมเหงื่อ Apocrine (พบได้ในรักแร้ หัวนม ช่องหู เปลือกตา ปีกจมูก) ผลิตของเหลวที่เป็นน้ำมันออกมา และถูกย่อยโดยแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังทำให้เกิดกลิ่น การสวมใส่เสื้อผ้าที่แน่น หรือในผู้ที่น้ำหนักตัวมาก ผิวหนังจะพับซ้อนกัน จะทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น

4.อาหารที่รับประทาน

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง เช่น พริก พริกไทย กระเทียม หัวหอม  ปลา และบร็อคโคลี่ จะส่งผลต่อกลิ่นในช่องคลอดเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น รักแร้ หนังศีรษะ ปาก และเท้า

5.ผ้าอนามัยแบบสอดที่ถูกลืม

การสะสมของเลือดประจำเดือน จะทำให้เกิดแบคทีเรีย และเกิดการระคายเคือง คัน และยังทำให้เกิดกลิ่นที่ ไม่พึงประสงค์ได้  

การดูแลไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องคลอด

  • สวมเสื้อผ้าที่ไม่คับจนเกินไปและชุดชั้นในผ้าฝ้ายเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ และป้องกันไม่ให้ความชื้นสะสม
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากออกกำลังกาย
  • ลดน้ำหนัก กรณีที่มีน้ำหนักตัวมาก
  • ในช่องคลอดจะมีกระบวนการทำความสะอาดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่ดี ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อตายได้
  • หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำหอม หรือสเปรย์ บริเวณอวัยวะเพศ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออาจเกิดอาการแพ้ได้

หากกลิ่นทางช่องคลอดนั้นรุนแรงมากหรือมีอาการผิดปกติ เจ็บ ปวดแสบปวดร้อน หรือมีอาการคัน ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษาที่ถูกต้อง

เท้าเหม็น กลิ่นลับๆ ที่มากับหน้าฝน

เท้าเหม็น  (Pitted Keratolysis)  เกิดจากการที่เรามีเหงื่อออกที่เท้าเยอะ (Hyperhidrosis) หรือความอับชื้น ทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบได้ปกติบนผิวหนังของคนเราในปริมาณที่พอเหมาะ แต่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะอับชื้น  แบคทีเรียนี้นอกจากจะย่อยสลายผิวหนังชั้นนอกแล้ว ยังสร้างสาร sulfur compound ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา

ลักษณะที่พบคือ จะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ ที่เท้า บางครั้งเห็นเป็นวงๆ เป็นแอ่งตื้นๆ ที่ฝ่าเท้า โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ เท้ามีกลิ่นเหม็นมาก แต่มักไม่มีอาการคัน ซึ่งจะแตกต่างจากเชื้อราหรือน้ำกัดเท้า

ปัจจัยที่ทำให้เท้าเหม็น

  • สภาพอากาศที่ร้อน ชื้น
  • รองเท้าที่อับ ไม่มีที่ระบายอากาศ เช่น รองเท้าบูท
  • ภาวะเหงื่อออกมากเกินไปของมือและเท้า (hyperhidrosis)
  • ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าหนา (keratoderma)
  • โรคเบาหวาน
  • อายุที่มากขึ้น
  • ภาวะบกพร่องของภูมิคุ้มกัน
  • การรับประทานอาหาร ที่มีปริมาณน้ำมันสูง อาหารรสเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นแรง คาเฟอีน ทำให้มีการผลิตเหงื่อมากขึ้น สามารถทำให้เกิดกลิ่นได้
  • ยาบางชนิดเช่น naproxen, acyclovir
  • การขาดธาตุ zinc และภาวะความเครียด ก็ส่งผลให้มีการผลิตเหงื่อมากขึ้น และทำให้เกิดกลิ่นเท้าได้

วิธีการรักษาควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย แยกโรคจากเชื้อรา  และให้ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Erythromycin gel, Clindamycin gel, Mupirocin ทายาในกลุ่ม Benzyl peroxide สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ และฆ่าเชื้อได้ และอาจพิจารณาให้ยาลดเหงื่อร่วมด้วย

การป้องกันโรคเท้าเหม็น

  • เลือกรองเท้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี หรือถ้าจำเป็นต้องสวมรองเท้าหุ้มข้อ เช่น รองเท้าบูท ให้เลือกสวมรองเท้าบูทที่สั้นที่สุด รองเท้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดี หรือถุงเท้าที่ทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น polyester หรือ nylon จะทำให้มีเหงื่อออกที่เท้ามากขึ้น
  • ใช้ถุงเท้าทำจากผ้าที่ดูดซับเหงื่อได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย หรือผ้าขนสัตว์
  • สวมรองเท้าแตะเปิดนิ้วเท้าทุกครั้งที่ทำได้
  • รักษาความสะอาดของเท้า ล้างเท้าด้วยสบู่หรือน้ำยาทำความสะอาดวันละสองครั้ง
  • ทาครีมบำรุงเท้าอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง
  • อย่าสวมรองเท้าคู่เดียวกัน ติดกันสองวัน ควรทิ้งไว้ให้แห้งจากความชื้นก่อน
  • อย่าใช้รองเท้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น

หน้าฝนไม่ได้เป็นตัวการให้เกิดโรค แต่ความชื้นในอากาศ ร่วมกับปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยภายในของเราเอง เช่น ฮอร์โมน หรือปัจจัยภายนอก เช่น การรับประทานอาหารบางประเภท ที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคที่เป็นบ่อเกิดของกลิ่นไม่พึงประสงค์   การดูแลตัวเอง รักษาความสะอาด และ ทำร่างกายให้แข็งแรง ไม่ว่าฤดูไหน ก็ไม่สามารถทำให้เราป่วยได้

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?