การเป็นมะเร็งเต้านม…ไม่ใช่เป็นแค่การต่อสู้เสมอไป

คุณโบว์เป็นทั้งผู้หญิงทำงาน ภรรยา และคุณแม่ลูกสองที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำและทำงานในบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคุณโบว์ทุ่มเทกับการทำงานเพื่อทำให้ครอบครัวภาคภูมิใจ บ่อยครั้งที่เธอทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพของตนเอง เมื่อคุณโบว์มาตรวจร่างกายประจำปีหลังจากผัดผ่อนมานานกว่า 7 เดือน เธอก็ได้รับข่าวร้ายว่าเธอเป็นมะเร็งเต้านม

การเป็นมะเร็งเต้านม…ไม่ใช่เป็นแค่การต่อสู้เสมอไป

การเป็นมะเร็งเต้านม…ไม่ใช่เป็นแค่การต่อสู้เสมอไป

ทั้งคุณโบว์และครอบครัวรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชมานานหลายปี เธอจึงมอบความไว้วางใจอย่างเต็มที่ให้ นายแพทย์วิชัย วาสนสิริ เป็นผู้ทำการผ่าตัด ในขณะที่คุณโบว์กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดกับ นายแพทย์วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริ แม้คุณโบว์และครอบครัวจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันยากลำบากแต่คุณโบว์ก็พร้อมแบ่งปันเรื่องราวของเธอซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้อื่นต่อไป…

“ตอนนั้นเราพลาดการนัดตรวจร่างกายประจำปีเพราะมัวแต่ไปสนใจกับสิ่งอื่นๆ ที่พอตอนนี้มองย้อนกลับไปแล้ว สิ่งที่เราไปมุ่งสนใจในตอนนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย”

เวลาที่โบว์หรือคนในครอบครัวเจ็บป่วยก็จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช จำได้ว่ารักษาที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้ก็น่าจะ20 – 30 ปี ได้แล้ว จนเรารู้สึกว่าทุกคนที่โรงพยาบาลเป็นเหมือนครอบครัวของตัวเอง เมื่อ4-5 ปีมานี้คุณหมอที่รักษาด้วยเป็นประจำแนะนำให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมกับคุณหมอวิชัย หลังจากเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ก็พบว่าเรามีเม็ดเล็กๆ 4 – 5 เม็ดกระจายอยู่ตามเต้านมทั้งสองข้าง คุณหมอวิชัยจึงให้กลับมาติดตามอาการทุกๆ 6 เดือนเป็นเวลา 2 ปี มาตรวจตามนัดตลอดทุกครั้งจนกระทั่งคุณหมอเปลี่ยนนัดเป็นหนึ่งครั้งต่อปี แต่ในปีที่สองมัวแต่สนใจอยู่กับงานและไม่ค่อยได้ใส่ใจกับการนัดตรวจสุขภาพประจำปีกับคุณหมอ แทนที่จะมาตรวจร่างกายตามนัดในเดือนมกราคม กลับผัดผ่อนไปเรื่อยๆเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอมาตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ในเดือนสิงหาคมคุณหมอก็พบก้อนเนื้อใหม่ขนาดประมาณ 1.5 ซม.ในเต้านมด้านขวา มีลักษณะเข้าข่ายน่าสงสัย คุณหมอจึงขอตรวจชิ้นเนื้อ ตอนนั้นตอบตกลงทันทีเพราะไว้ใจคุณหมอ แม้ในใจจะรู้สึกกลัวๆอยู่บ้าง แต่ทั้งคุณหมอและพยาบาลผู้ช่วยต่างก็ดูแลเป็นอย่างดีพร้อมอธิบายถึงกระบวนการและขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียด หลังการตัดชิ้นเนื้อตรวจไปได้สองวันคุณหมอก็เรียกมาพบเพื่อบอกผลตรวจ ความรู้สึกตอนนั้นบอกตัวเราเองว่าคงไม่ใช่ข่าวดีแน่นอน

“ก่อนการผ่าตัดและช่วงทำคีโมเราคิดอยู่เสมอว่าเรากำลังทำสิ่งดีๆให้ตัวเองเพื่อให้ร่างกายของเราดีขึ้น”

เมื่อฟังผลตรวจชิ้นเนื้อกับคุณหมอก็เป็นมะเร็งเหมือนอย่างที่สงสัย ตอนนั้นแวบหนึ่งรู้สึกน้อยใจขึ้นมาว่าทำไมถึงต้องเป็นเราด้วย แต่มีความรู้สึกนี้อยู่ไม่กี่นาทีก็หายไปเมื่อตั้งสติยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากโกหกตัวเอง ตอนนั้นคิดถึงลูกๆและครอบครัวว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร คุณหมอวิชัยก็ให้กำลังใจและเริ่มวางแผนว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป หลังจากคุยกับคุณหมอวิชัยแล้ว ก็รวบรวมสมาธิและสติอีกครั้ง สิ่งแรกที่ลงมือจัดการก็คือความคิดและความรู้สึกของตัวเอง บอกตัวเองว่า ต้องเปิดใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเราไม่ใช่คนแรกที่กำลังเผชิญกับโรคนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะทำให้ดีที่สุด จะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ หลังจากจัดการกับความคิดของตัวเองแล้ว ก็เริ่มสื่อสารกับครอบครัว ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน

คุณหมอวิชัยเริ่มอธิบายถึงการผ่าตัดอย่างละเอียด โดยแนวทางการผ่าตัดจะเป็นแบบสงวนเต้านม (Breast Conserving Surgery) แต่จะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และจะมีการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล (Sentinel Lymph Node Dissection) เพื่อวินิจฉัยการกระจายของมะเร็งมาที่ต่อมน้ำเหลือง ในการผ่าตัดจะเริ่มด้วยการฉีดสีพิเศษเข้าที่บริเวณเต้านม เพื่อให้สีเดินทางเลียนแบบการเดินทางของมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลือง จากนั้นจะผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่ติดสีนั้นไปตรวจด่วนภายใน 30 – 40 นาที หากไม่พบเซลล์มะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ระดับลึกลงไป ช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่จะตามมาหากเลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด เช่น อาการแขนบวม อาการบวมใต้ท้องแขน ในส่วนของการผ่าตัดก้อนมะเร็งจะผ่ากว้างกว่าก้อนมะเร็งประมาณหนึ่งเซนติเมตรและจะส่งตรวจด่วนว่ารอบๆพบมะเร็งหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องผ่าขยายเพิ่มขึ้นอีกโดยคุณหมอจะทำการผ่าตัดแบบนี้แค่สามครั้งเท่านั้น เพราะถ้ามากกว่านี้ต้องพิจารณาทำการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด ก่อนการผ่าตัดก็มีช่วงที่รู้สึกแย่และสับสนเพราะยังกังวลบางเรื่องอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่หลอกตัวเอง และได้กลับมาคุยกับคุณหมอวิชัยเกี่ยวกับความกังวลทุกเรื่อง สามีเองก็ถามคุณหมอเกี่ยวกับการผ่าตัดอย่างละเอียด

หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คุณหมอบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี และผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกเพียงครั้งเดียว ผลการทดสอบพบว่ามะเร็งได้มีการเดินทางที่ต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล 1 ต่อมจาก 4 ต่อมที่เอาไปตรวจ และด้วยผลจากการวิจัยล่าสุดไม่มีความจำเป็นจะต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองในระดับที่ลึกลงไปออก โบว์ต้องขอบคุณคุณหมอวิชัยเป็นอย่างมาก คุณหมอมีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดสูงมาก การที่คุณหมอผ่าตัดเก่งและมีความรู้ในการแพทย์ที่ก้าวหน้าอยู่เสมอทำให้เราไม่ต้องถูกเลาะต่อมน้ำเหลืองมากเกินไปทำให้ผลหรือคุณภาพชีวิตหลังผ่าตัดดีมากๆ นอกจากนั้นคุณหมอยังมีความเป็นมืออาชีพและดูแลโบว์เป็นอย่างดี ไม่ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ทำให้ไว้ใจในตัวคุณหมอเหมือนสมาชิกในครอบครัวเลยทีเดียว

“วันไหนที่เรารู้สึกแย่จากการทำคีโม เราจะคิดถึงวันที่เราจะหายและดีขึ้น”

คุณหมอวิชัยแนะนำให้เข้ารับการรักษาทางเคมีบำบัดกับคุณหมอวิโรจน์ คุณหมอวิโรจน์เป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาจึงเข้ากันได้ดีในการสื่อสาร ได้บอกกับคุณหมอว่า ต้องการมีชีวิตที่เหมือนเดิมให้มากที่สุดถึงแม้จะรับคีโม ยังอยากทำงานหรือใช้เวลากับครอบครัวได้แบบปกติ คุณหมอก็ให้คำแนะนำและแจ้งสิ่งที่เราควรทราบ ต้องทำคีโมทั้งหมดแปดครั้ง คุณหมอบอกไว้แต่เนิ่นๆเลยว่าให้เตรียมตัวเรื่องผมร่วง เลยออกไปหาซื้อวิกมาเตรียมไว้ ประมาณ 14 วันหลังจากที่รับคีโมผมก็เริ่มร่วงนิดหน่อยตามที่คุณหมอบอกไว้ ก็ไปหาร้านตัดผมแถวบ้านและให้เขาโกนผมจนหมด รู้สึกสบายหัวและตัว

ครั้งแรกที่ใส่วิก สามีก็ชมว่า ดูสวยกว่าเดิมนะ ทำให้ซึ้งใจที่มีเขาคอยให้กำลังใจและสนับสนุนเราทุกอย่าง เคยพูดเล่นกับสามีว่าอยากจะเป็นผู้หญิงที่เป็นมะเร็งที่สวยที่สุด! อาทิตย์แรกหลังการทำเคมีบำบัดแต่ละครั้งจะเป็นช่วงที่อาการแย่ลง เราจะปวดท้องและอ่อนเพลียมาก ทานไม่ได้ บางครั้งถึงกับต้องมานอนที่โรงพยาบาล ทั้งคุณหมอและพยาบาลก็น่ารัก คอยดูแลอย่างดีที่สุด ในวันที่ท้อมากๆ จะคอยบอกตัวเองว่ามีผู้หญิงหลายคนที่กำลังเผชิญสิ่งเดียวกับเรา แม้ตอนนี้จะลำบาก แต่เราก็กำลังทำสิ่งที่ดีให้แก่ตัวเอง และจะคิดถึงวันที่เราจะหายสบายตัวและดีขึ้น

การเป็นมะเร็งเต้านม…ไม่ใช่เป็นแค่การต่อสู้เสมอไป

“การเป็นมะเร็งไม่ใช่เป็นการต่อสู้เสมอไป เมื่อเราโอบกอดเขา..จะพบว่าชีวิตยังคงสวยงามอยู่เหมือนเดิม”

การเป็นมะเร็งไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซึมเศร้าไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานได้ อันที่จริงแล้วเรากำลังทำความรู้จักกับร่างกายของตัวเอง เมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยก็ต้องนอนพัก ไม่หักโหมเกินไป พยายามรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายและออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ โบว์คิดว่าสาเหตุที่เราดูสดชื่นหลังการทำเคมีบำบัดเป็นเพราะว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ได้ออกกำลังกายด้วยการชกมวยไทย เล่นเทนนิส หรือแบดมินตันเป็นประจำ พยายามทำกิจกรรมและไม่เก็บตัวอยู่คนเดียว ยังคงทำงานอยู่เวลาที่ร่างกายของเราแข็งแรงพอ และเริ่มทำงานอดิเรกหลายๆอย่างเพื่อช่วยคลายความเจ็บปวด เช่น เล่นเปียโน เต้นรำ เป็นต้น การที่เราไม่ปล่อยชีวิตไปแบบไร้จุดหมาย ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าและมีอะไรที่เรายังทำได้อยู่อีกมากมาย

โบว์บอกตัวเองเสมอๆว่า เราอยู่ในความดูแลของคุณหมอที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรมีอะไรที่ต้องกังวล แต่สำคัญที่เราต้องช่างสังเกตตัวเอง ให้ข้อมูลและบอกสถานการณ์ของเราแก่คุณหมออย่างละเอียด ตั้งแต่เป็นมะเร็ง โบว์เรียนรู้ที่จะให้เวลาดูแลตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้นและเรียนรู้ที่จะมีความหวังอยู่เสมอ โบว์มองว่านี่คืออีกหนึ่งบททดสอบของชีวิตและนี่ก็เป็นเหมือนปัญหาอื่นๆในชีวิตที่ต้องก้าวผ่าน การเป็นมะเร็งไม่ใช่การต่อสู้อยู่เสมอไป เมื่อเราโอบกอดเขาจะมีความรู้สึกสงบและจะพบว่าชีวิตยังคงสวยงามอยู่เสมอ โบว์ชอบประโยคที่ว่า “Accept what is, let go of what was, and have faith in what will be” (“ยอมรับในสิ่งที่เกิด ปล่อยวางในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และมีความศรัทธาในสิ่งที่จะตามมา”) สำหรับโบว์แล้ว ได้เรียนรู้อย่างยิ่งใหญ่แนบแน่นหัวใจว่า เราควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และมีความสุขกับทุกขณะ เพราะอนาคตจะสะท้อนสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน เมื่อเราโอบกอดปัญหาด้วยความรักและทัศนคติที่ดี ย่อมทำให้ทุกๆนาทีผ่านไปโดยไม่ทุกข์มากเกินไป ตัวเราเองก็จะดีขึ้นทุกวัน โบว์กำลังรอเวลาที่เราจะกลับมาบินได้อย่างสวยงามอีกครั้ง อาจจะบินไม่ได้สูงเท่าเดิมในบางเรื่อง แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราจะบินได้สวยงามในการใช้ชีวิตเพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าใจชีวิตและการมีสุขภาพที่ดีค่ะ


หลังจากผ่านการรักษาตัวมา 8 เดือน รับคีโมทั้งหมด 8 ครั้ง และฉายแสง 20 ครั้ง คุณโบว์ได้กลับไปทำงานตามปกติแล้ว และต้องทานยาต้านฮอร์โมนวันละเม็ดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี และต้องอยู่ในการดูแลใกล้ชิดของคุณหมอ

สิ่งที่คุณโบว์ได้เรียนรู้จากการเดินทางครั้งนี้ คือ

  1. ความคิดและทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การเปิดใจยอมรับความจริงและมีความหวังอยู่เสมอ ทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขได้ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน ทุกอย่างมีทางออกของมันเสมอเมื่อถึงเวลา
  2. ไม่มีใครรู้ตัวเราเท่าตัวเราเอง อย่าลังเลที่จะถามและสื่อสารให้ข้อมูลกับคุณหมอ เพราะการพูดคุยให้ข้อมูลสำคัญมาก ช่วยให้เรามั่นใจว่าจะได้รับการรักษาจากคุณหมออย่างถูกจุดและดีที่สุด
  3. Work-Life Balance หรือการสร้างความสมดุลของชีวิต เดินทางสายกลาง ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าทานซ้ำให้ทานหลากหลาย พักผ่อนนอนหลับ ออกกำลังกาย และทำจิตใจให้แจ่มใส  สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครทำให้เราได้ เราเท่านั้นที่ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง
คะแนนบทความ